Muketing คืออะไร? Muketing หรือที่คนไทยชอบเรียกกันว่า “การตลาดสายมู” เป็นการผสมคำระหว่าง Mutalu กับ Marketing ซึ่งเป็นเทรนด์การตลาดแนวใหม่ที่เล่นกับเรื่องของความเชื่อในดวงชะตา ที่พึ่งพิงทางจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่าวยาวนาน โดยมีผลสำรวจจากงานสัมมนา Marketing in the uncertain world ของวิทยาลัยการจัดการ มหิดล พบว่า คนไทยกว่า 52 ล้านคนในความเชื่อเรื่อง “โชคลาง” ความเชื่อเรื่องโชคลางที่มีผลมาก ๆ เป็นอันดับต้น ๆ คือ พยาการณ์ พระเครื่อง สีมงคล และเบอร์มงคล ทำ Muketing อย่างไร ให้ไม่ดูงมงาย? 1. นำมาใช้เพื่อช่วยเปิดตลาดใหม่ เช่น ลูกค้าอาจจะยังไม่เคยมีเบอร์กับเครือข่ายนี้ แต่ทางเครือข่ายได้ออกแคมเปญเบอร์เสริมดวง อาจจะจูงใจดึงดูดลูกค้าใหม่ได้ 2. นำมาใช้เพื่อสร้างสีสัน เช่น สินค้าแฟชันที่มีหลายสีให้เลือก อาจจะเอามาปรับใช้กับการทำคอนเทนต์เลือกสินค้าตามสีของราศีต่าง ๆ เพื่อให้มีลูกเล่นมากยิ่งขึ้น 3. นำมาใช้ในการสร้างความสัมพันธ์ เช่น สำหรับลูกค้าที่อยู่อย่างนาน/ […]
การให้ความช่วยเหลือหรือร่วมทำบุญบริจาคให้กับผู้ยากไร้ ผู้ที่ขาดแคลน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ ก็นับว่าเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ เพราะทุกการบริจาคของเราสามารถช่วยรักษา ต่อชีวิต ต่อลมหายใจให้แก่พวกเขาได้ SHIPPOP จึงขอเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงบอกต่อสถานที่ “เปิดรับบริจาค” ซึ่งเราสามารถร่วมบริจาคได้ผ่านช่องทางออนไลน์ มีหลายโครงการให้เราสมทบทุน ใครอยากสมทบทุนโครงการไหนก็สามารถร่วมบริจาคตามช่องทางที่เราแนบไว้ให้ได้เลยนะคะ 1. มูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ มูลนิธิบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ มีจุดเริ่มต้นจากครอบครัวคุณพิมพ์กุล โอฬารศิรโรจน์ (เรณู จุลสุคนธ์) ที่ได้ช่วยเหลือสัตว์ต่างๆ ที่พิการจนหายจากการเจ็บป่วย จึงเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนแก้เหงา แต่เมื่อเพิ่มจำนวนมากขึ้น สถานที่คับแคบ และเป็นภาระที่ต้องเลี้ยงดู ประกอบกับสัตว์ส่งเสียงดัง ส่งกลิ่นรบกวนเพื่อนบ้าน จึงต้องย้ายสถานที่เลี้ยงออกไปนอกเมือง โดยตั้งชื่อว่า “บ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ” ในปี พ.ศ. 2524 ต่อมาในปี 2532 คุณชวนชื่น โกมารกุล ณ นคร (ยั่งยืน) ได้ทราบข่าวและมาเยี่ยม แสดงประสงค์ให้ความช่วยเหลือ จึงจัดซื้อที่ดินบริจาค 200 ตารางวา ณ ที่ทำการมูลนิธิฯ ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี พร้อมสร้างโรงเรือนถาวรให้ในปี พ.ศ. 2533 ในปี […]
ปัจจุบันเรามักพบเจอปัญหาการถูกหลอกจาก “มิจฉาชีพ” กันบ่อยครั้ง มีวิธีการหลากหลายรูปแบบที่ทำให้ผู้คนหลงเชื่อ โดยข้อมูลจาก “ตำรวจสอบสวนกลาง” บอกไว้ว่า จากสถิติในปี 2564 มีผู้เสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เข้าแจ้งความกว่า 1,600 ราย รวมมูลค่าความเสียหายสูงกว่า 1,000 ล้านบาท ดังนั้นเราจึงต้องทำความเข้าใจว่าปัจจุบันมิจฉาชีพใช้วิธีการใดบ้าง และหากเราเจอมิจฉาชีพกับตัวเอง เราควรปฎิบัติตนอย่างไร มาดูเลยค่ะว่ามิจฉาชีพมาในรูปแบบบ้าง มิจฉาชีพทาง “ออนไลน์” 1. ใช้สลิปปลอม โพสต์ตามสินค้า เป็นอีกภัยใกล้ตัวของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ เมื่อต้องเจอมิจฉาชีพสวมรอยเป็นลูกค้า โดยอ้างว่า ไม่ได้รับสินค้า แล้วโพสต์สลิปปลอมเพื่อตามสินค้า กรณีนี้มักเกิดกับธุรกิจออนไลน์ที่มีออร์เดอร์จำนวนมาก จึงคิดว่ามีบางออร์เดอร์ตกหล่น จึงได้ส่งสินค้าไปให้กับลูกค้าตัวปลอม 2. แอปฯ เงินกู้ออนไลน์ เงินกู้ออนไลน์ กลายเป็นทางเลือกสำหรับเจ้าของธุรกิจจำนวนไม่น้อย ทำให้มิจฉาชีพใช้โอกาสตรงนี้หลอกล่อผู้คน โดยคำเชิญชวนประเภท “กู้เงินด่วน อนุมัติไวใน 15 นาที” จากนั้นจะหลอกให้ผู้กู้จ่ายค่าธรรมเนียม หรือดอกเบี้ยงวดแรก หรือเงินมัดจำสำหรับการกู้ยืม หากหลงเชื่อโอนเงินให้ มิจฉาชีพก็จะหายตัวไปทันที 3. ลิงก์ปลอม (Phishing) ขโมยข้อมูลส่วนตัว ลิงก์ที่ส่งมาให้ ไม่ว่าจะเป็นทาง SMS […]
ปัจจุบันการขายสินค้าในโลกออนไลน์มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง เมื่อร้านค้าขายสินค้าที่เหมือนกัน ลูกค้าก็จะเริ่มมองหาความแตกต่าง โดยปัจจัยหลักที่ลูกค้ามักพิจารณาเป็นอย่างแรก นั่นก็คือ “ราคาสินค้า” หลายครั้งแม่ค้าถึงเจอปัญหาการขายแบบตัดราคา หลายร้านมักเลือกที่จะตั้งราคาต่ำจนเกินไปซึ่งอาจส่งผลให้ร้านขาดทุนโดยไม่รู้ตัว เราจึงควรหลีกเลี่ยงการตั้งราคาสินค้าที่เสี่ยงต่อการขาดทุน วันนี้เราจะมาดู 3 เทคนิคการตั้งราคาสินค้าและบริการ ที่จะช่วยให้ร้านค้าได้กำไรอย่างแน่นอน 1. ตั้งราคาสินค้าจากต้นทุน วิธีทั่วไปที่หลาย ๆ คนนิยมใช้ คือ การคำนวณต้นทุนของสินค้าก่อน หลังจากนั้นค่อยคิดดูว่าต้องการกำไรเท่าไหร่ แล้วบวกเข้ากับราคาสินค้า เช่น คำนวณต้นทุนรวมของเสื้อผ้าแฟชั่นตัวละ 200 บาท อยากได้ตัวละ 50 บาท ก็บวกราคาขาย เท่ากับขายสินค้าตัวละ 250 บาท เป็นต้น 2. ตั้งราคาสินค้าจากตลาด 3. ตั้งราคาสินค้าจากลูกค้า การตั้งราคาสินค้า ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของลูกค้าว่า ลูกค้าจะเต็มใจซื้อสินค้าและบริการของเราในราคาเท่าไร? แน่นอนว่าอาจเข้าใจยากกว่าวิธีอื่น ๆ แต่หากเข้าใจว่าสินค้าและบริการของธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างไรก็จะช่วยทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างแน่นอนค่ะ SHIPPOP เรามีขนส่งรองรับมากกว่า 14 ขนส่ง ให้บริการครอบคลุมทั่วทั้งประเทศไทย ส่งสินค้าได้หลากหลาย ที่สำคัญคือเรามีทีมงานคอยช่วยเหลือติดตามพัสดุของคุณ และมีระบบหลังบ้านช่วยจัดการเรื่องส่งของที่เปิดให้ใช้งานได้ “ฟรี” ระบบเราใช้งานง่าย แถมยังได้ค่าส่งราคาดี […]
ปัญหาน่าปวดหัวของคนขายของออนไลน์แบบสต๊อกสินค้าจะต้องเจอ คือการที่เราสต๊อกสินค้าเอาไว้จนแน่นเอี๊ยดจนเต็มคลังสินค้า แต่ดันขายไม่หมด เหลือสินค้าค้างสต๊อกเป็นจำนวนมาก จนต้องมานั่งกลุ้มใจว่าจะทำอย่างไรกับของที่เหลือค้างสต๊อกดี? บทความเรามี 4 เคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณได้ระบายสินค้าค้างสต๊อก และสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ 1. วางสินค้าค้างสต๊อกให้เด่น เมื่อคุณมีสินค้าค้างสต๊อกเป็นจำนวนมาก ขายได้ไม่ค่อยดีนัก ลองเปลี่ยนการจัดวางสินค้าดู เนื่องจากสินค้านั้นอาจจะไม่ได้อยู่ในระดับสายตาของลูกค้าจึงส่งผลให้ยอดขายน้อย ลองเปลี่ยนการจัดวางให้สินค้าชิ้นนั้นดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น และวางในจุดระดับสายตาของลูกค้า จะช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดและเป็นการเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะซื้อสินค้าเหล่านั้นเพิ่มมากขึ้นค่ะ 2. จัดโปรโมชันพิเศษ กลยุทธ์ยอดนิยมตลอดกาลและมักได้ผลตอบรับดีอยู่เสมอ ไม่ว่าแบรนด์เล็กหรือแบรนด์ต่างก็ใช้กลยุทธ์นี้กันทั้งนั้น นั้นก็คือ ‘การจัดโปรโมชั่นพิเศษ’ ซึ่งสามารถทำได้หลากหลายวิธีเลย ยกตัวอย่างเช่น การลดราคาสินค้าพิเศษ อาจจะกำหนดราคาลดแล้วที่แน่นอนเลย หรือกำหนดลดราคาเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ได้เช่นกันนะคะ ข้อควรระวังคือ อย่าจัดโปรโมชั่นลดราคาบ่อยหรือถี่จนเกินไปค่ะ เพราะลูกค้าจะรอซื้อสินค้าแค่ช่วงที่แบรนด์จัดโปรเท่านั้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อยอดขายในระยะยาวได้นั่นเองค่ะ 3. เปลี่ยนให้เป็นของแถม ถ้าสินค้าค้างสต๊อกเป็นจำนวน แ้จะเปลี่ยนการจัดวาง จัดโปรโมชั่นพิเศษแล้วแต่ยอดขายกลับไม่ดีขึ้น เราแนะนำให้นำสินค้าเหล่านี้เปลี่ยนเป็นของแถมคู่กับสินค้าอื่น ๆ ที่อยู่ภายในร้านค้าค่ะ แต่ในส่วนนี้จะต้องทำการคำนวณต้นทุนให้ดีนะคะ เพื่อที่จะได้ไม่เสี่ยงต่อการขายขาดทุนค่ะ การใช้กลยุทธ์นี้สามารถเพิ่มความประทับใจที่ลูกค้ามีต่อร้านค้าได้ด้วยนะคะ 4. ต่อยอดให้เป็นสินค้าใหม่ การออกสินค้าใหม่อาจจะไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องผลิตสินค้าใหม่เสมอไปนะคะ เนื่องจากคุณสามารถนำสินค้าเก่ามาปรับหรือต่อยอดให้เป็นสินค้าแบบใหม่ได้ ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือการจัดเซทของขวัญตามเทศกาลต่าง ๆ เปลี่ยนแพคเกจสินค้า จับคู่สินค้าภายในร้านเพิ่มการตกแต่งแพคเกจนิดหน่อยก็สามารถทำให้เป็นสินค้าใหม่ได้แล้วค่ะ […]
การขายของออนไลน์ สิ่งสำคัญและสร้างความโดดเด่นคือ “รูปภาพ” ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพสำหรับช่องทางโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ คอนเทนต์ต่าง ๆ ตอนนี้คุณกำลังใช้รูปภาพที่คุณเอง หรือรูปภาพสต็อกที่เอามาจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ? หากคุณกำลังกำลังใช้รูปภาพสต็อกอยู่ เราจะมาบอกเหตุผลว่าทำไมแบรนด์ถึงไม่ควรใช้รูปภาพสต็อกมากจนเกินไป 1. รูปภาพจะซ้ำกับแบรนด์หรือบริษัทอื่น ๆ ภาพถ่ายสต็อกเป็นรูปภาพที่ใคร ๆ ก็สามารถนำมาใช้ได้ทั้งแบบที่ดาวน์โหลดฟรี และเสียค่าลิขสิทธิ์ ดังนั้นก็มีหลายครั้งที่หลายแบรนด์อาจจะถูกใจชื่นชอบรูปภาพเดียวกัน และนำมาใช้เหมือนกัน ทำให้เวลาที่เราทำการโปรโมท รูปภาพของเราก็จะไปซ้ำกับแบรนด์อื่น ๆ และดูไม่ค่อยเป็นเอกลักษณ์มากเท่าไหร่นัก และมีแนวโน้มสูงที่ลูกค้าอาจจะไม่สามารถจดจำแบรนด์ของเราได้ สิ่งที่จะดึงดูดลูกค้าได้ดี คือการใช้ User Generated Content (UGC) ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ลูกค้าสร้างสรรค์ขึ้นมาเองและทำการพูดถึงแบรนด์ หรืออาจจะติดแท็กหาแบรนด์ โดยที่แบรนด์ไม่ต้องทำการว่าจ้างเลย แบรนด์อาจจะจัดแคมเปญทำการโปรโมทเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้าร่วมกิจกรรม 2. รูปภาพสต็อกดูเหมือนการโพสท่า และดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ รูปภาพสต็อกเป็นรูปภาพที่ดูสมบูรณ์แบบ และไม่ค่อยเหมือนความเป็นจริง ยกตัวอย่างเช่น หากคุณหารูปภาพครอบครัวนั่งในห้องเล่น เมื่อคุณใช้ภาพสต็อกคุณจะพบแต่รูปที่มีความสมบูรณ์ ครอบครัวยิ้มแย้ม และห้องถูกจัดแต่งอย่างเป็นระเบียบและสวยงาม ซึ่งในแง่ความเป็นจริง รูปภาพสต็อกอาจจะไม่ค่อยกับสินค้าของบริการเรามักนัก และอาจมีแรงดึงดูดค่อยข้างน้อย ตัวอย่าง : รูปภาพอาหารเช้าของโรงแรมแห่งหนึ่ง รูปซ้าย : […]