ช่วงนี้คนเข้ามาขายของออนไลน์กันเยอะมากเลยค่ะ บางรายเรียกได้ว่าออเดอร์ถล่มทลายกันเลยทีเดียว แต่เมื่อมีออเดอร์ยอดคำสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก แม่ค้าส่วนใหญ่จะเจอกับปัญหาแบกกล่องพัสดุไปส่งของไม่ไหว หรืออาจจะเจอปัญหาส่งของไม่ทัน เขียนใบปะหน้าไม่ไหว แต่ทุกปัญหามีทางออก เรามาดูกันค่ะว่าจะจัดการกับปัญหาน่าปวดหัวเหล่านี้อย่างไร 1. แบ่งสต๊อกสินค้าให้เป็นหมวดหมู่ชัดเจน สิ่งสำคัญที่สุด คือ เราต้องบริหารคลังสินค้าของเราให้ดีค่ะ เพราะถ้าหากเราวางสินค้าตามใจเวลาจะหาของมาแพคจะวิ่งกันวุ่นวายเพราะหาของไม่เจอ! ดังนั้นการจัดระเบียบและแบ่งโซนให้ชัดเจนจะช่วยให้เราหยิบสินค้าได้ไวขึ้น ถ้ายังเป็นมือใหม่พึ่งเริ่มต้น อาจจะยังไม่มีชั้นวางของแต่ก็ยังแนะนำว่าให้แบ่งแยกสินค้าให้เป็นหมวดหมู่ดีกว่าค่ะ แบ่งโซนพื้นที่เก็บของเราให้ชัดเจนว่าในแต่ละโซนจะจัดวางสินค้าประเภทอะไร การทำแบบนี้มีประโยชน์ในการนับสต๊อกด้วยนะคะ ช่วยป้องกันสต๊อกขาดซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราเสียโอกาสในการขายด้วยค่ะ 2. ลดขั้นตอนงาน ทำทุกอย่างให้ไวขึ้น ปกติแล้วเวลาเราจะส่งสินค้าเราจะต้องใช้เวลาเยอะเลยใช่ไหมคะ ทั้งเดินไปหยิบของ ห่อบับเบิ้ล แถมยังต้องเขียนใบปะหน้าอีก แต่ถ้ามี “ระบบของ SHIPPOP” เข้ามาช่วยก็จะทำให้ลดระยะเวลาไปได้ค่ะ โดยการที่เราเอาข้อมูลลูกค้าพิมพ์เข้าระบบ หรือแค่ Copy ข้อความที่ลูกค้าส่งให้ ก็ไม่ต้องเสียเวลามาเขียนใบปะหน้าอีกต่อไป เมื่อเราเอาข้อมูลเข้าระบบเราก็แค่ปริ้นท์ใบปะหน้าออกมา แล้วแปะที่หน้ากล่องพัสดุได้ทันทีเลยค่ะ เป็นการลดระยะเวลา ที่สำคัญยังช่วยป้องกันข้อมูลผิดพลาดด้วยนะคะ เพราะปกติถ้าใช้มือเขียน พนักงานขนส่งก็จะเจอปัญหาอ่านลายมือไม่ออก ทำให้จัดส่งล่าช้าได้ค่ะ 3. ใช้บริการ Drop-off ธรรมดาถ้าเราไปส่งของที่สาขาของไปรษณีย์ เราอาจจะต้องกดบัตรรอคิวนาน ทำให้เราเสียเวลา ที่สำคัญการรอนาน ๆ ถ้าเราไปไม่ทันเวลาช่วงที่เขาตัดรอบส่งพัสดุก็จะทำให้เราพัสดุของเราถึงมือลูกค้าช้าด้วยนะคะ แต่ถ้าเราเลือกใช้บริการ Drop-off เราจะมีเวลาเพิ่มขึ้นเยอะเลยค่ะเพราะว่าไม่ต้องต่อแถวแล้ว […]
ขายของออนไลน์อย่างไรให้ยอดขายพุ่ง? โพสต์ขายสินค้าเป็นเรื่องง่ายค่ะ แต่การทำให้ยอดขายปัง ๆ นี่สิที่เป็นสิ่งที่ยากและท้าทายมากสำหรับคนขายของ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีทริคเล็ก ๆ ที่จะช่วยให้คุณขายของได้นะคะ 1. บอกรายละเอียดให้ชัดเจน เมื่อคุณโพสต์สินค้าขาย สิ่งสำคัญคือรูปภาพต้องน่าดึงดูดจนสะดุดตาลูกค้า แต่รองลงมาคือ “ข้อความ” ค่ะ เพราะเมื่อลูกค้าชอบรูป เขาจะอยากรู้รายละเอียดเพิ่มทันที ดังนั้นเราจะต้องเขียนทุกอย่างให้ชัดเจนชนิดที่ว่าลูกค้าไม่ทักถามเราเพิ่มเติม ไม่ว่าเป็น สี ขนาด วัตถุดิบหรือวัสดุ รวมถึงราคาสินค้า และค่าส่งค่ะ เขียนทุกอย่างให้ครบถ้วน เมื่อลูกค้าเห็นข้อมูลครบ เขาก็จะเข้าสู่กระบวรการตัดสินใจทันทีว่าเขาจะซื้อหรือไม่ แต่ถ้าหากเราไม่เขียนรายละเอียดไว้เลย ก็มีโอกาสสูงที่ลูกค้าจะไม่เข้ามาสอบถาม แถมยังออกจากร้านเราไปเลย ทำให้เราเสียโอกาสในการขายนั่นเองค่ะ 2. ทำให้ลูกค้าเห็นถึง “ประโยชน์” สินค้าทุกอย่างมักจะมีวัตถุประสงค์ในการใช้งานค่ะ แต่เราก็ต้องเน้นย้ำให้ลูกค้าเห็นความสำคัญด้วยนะคะว่าถ้าเขาซื้อสินค้าไป เขาจะสามารถใช้งานอะไรได้บ้าง เช่น เราขายตู้เย็น เราก็ต้องบอกว่าเครื่องเราดียังไง ช่วยให้เขาเก็บของสดได้นานขึ้นนะ หรือสามารถดูดกลิ่นอาหารไม่พึงประสงค์ได้ เป็นต้น การทำแบบนี้ก็จะช่วยให้ลูกค้าเห็นว่าเขาจะได้รับอะไรบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้นค่ะ 3. ใช้คำพูดที่ให้รู้สึก “มีความรู้สึกร่วม” ในบางครั้งเวลาลูกค้าเห็นสินค้าในโลกออนไลน์ เขาก็คงนึกภาพไม่ออกว่าแล้วสินค้าเป็นยังไง นั้นจึงเป็นสาเหตุที่เราต้องทำให้ลูกค้ามีอารมณ์ร่วมนั่นเองค่ะ เช่น ถ้าเราขายอาหารอย่างไก่ทอด เราอาจจะใช้คำว่า กรอบนอกนุ่มใน […]
แม่ค้าออนไลน์ที่ทำการสต๊อกสินค้า อาจจะเจอปัญหาน่าปวดหัว เช่น สต๊อกขาด จำนวนสินค้าจริงกับเลขในสต๊อกไม่เหมือนกัน ซึ่งอาจทำให้เราเสียโอกาสในการขาย ข้อมูลคลาดเคลื่อนสูง ต้องทำการเช็กข้อมูลซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเราจัดการสต๊อกอย่างมืออาชีพ ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป 1. จัดระเบียบสินค้า แบ่งโซนหรือหมวดหมู่ให้ชัดเจน หากร้านค้าของคุณขายสินค้าหลายประเภทแล้วยังวางสินค้าผสมกัน ก็ถึงเวลาที่คุณจะต้องลุกขึ้นมาเพื่อจัดระเบียบใหม่แล้วนะคะ เพราะในอนาคตหากคุณขายสินค้าเยอะมากกว่านี้คุณจะลำบากในการหาสินค้าอย่างแน่นอนค่ะ ที่สำคัญยังทำให้คุณเสียเวลาในการรื้อค้นด้วย คุณควรแบ่งสินค้าอย่างชัดเจน จัดหมวดหมู่สินค้า สินค้าที่เหมือนกันให้วางอยู่ด้วยกันเพื่อเป็นการแบ่งโซน สิ่งนี้จะช่วยให้ร้านค้าของคุณดูเป็นระเบียบและง่ายต่อการค้นหาด้วยนะคะ 2. เลิกจดมือ ใช้โปรแกรมหรือเทคโนโลยีเข้ามาช่วย บันทึกสต๊อกด้วยการจดมือสามารถทำได้นะคะ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณมีข้อมูลเยอะคุณจะเริ่มเขียนไม่ไหว หากให้คนอื่น ๆ มาช่วยด้วยก็อาจจะเจอปัญหาอ่านมือไม่ออก หรือข้อมูลไม่เป็นระเบียบ ดังนั้นคุณควรใช้โปรแกรมเข้ามาช่วยบริหารจัดการเพื่อง่ายต่อการค้นหาข้อมูล และสามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์ได้ด้วยนะคะ เช่น โปรแกรม Excel ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ทุกคนคุ้นชินกันดีอยู่แล้ว หรือถ้าอยากให้เป็นแบบออนไลน์ก็แนะนำให้เลือกใช้ Google Sheet ค่ะ เพราะไฟล์งานจะบันทึกให้อัตโนมัติ สามารถเข้ามาแก้ไขงานได้พร้อมกันหลายคน หรือจะตั้งค่าให้เราแก้ไขข้อมูลคนเดียวก็สามารถทำได้ค่ะ 3. เช็กจำนวนสต๊อกสินค้าให้สม่ำเสมอ จำนวนสต๊อกคงคลังเป็นสิ่งที่สำคัญมากของการนับสต๊อกเลยค่ะ ข้อมูลควรจะถูกต้องแม่นยำเพื่อที่เราจะได้วางแผนการจัดการสต๊อก เช่น การสั่งสินค้ามาเติมสต๊อก หรือสินค้าที่มีปริมาณมากเกินไปเราจะระบายของออกอย่างไร เป็นต้น เรานับสต๊อกเพื่อเช็กความถูกต้องจึงเป็นสำคัญที่เราไม่ควรละเลยค่ะ หากเราสามารถทำระบบนับจำนวนได้ถูกต้อง การบริหารสินค้าก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพ 4. […]
กลยุทธ์ในการดึงดูดลูกค้ามีหลากหลายรูปแบบมากเลยค่ะ หนึ่งในนั้นคือการ “ใช้คูปอง” หลายคนอาจจะไม่เคยลองใช้วิธีนี้ หรือบางคนก็อาจจะใช้กลยุทธ์นี้กันอยู่แล้ว แต่รู้ไหมคะว่าจริง ๆ การใช้คูปองสามารถดึงดูดลูกค้าให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น และมีทั้งข้อดีและข้อเสียเลยค่ะ เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับกลยุทธ์นี้ให้มากขึ้นกันดีกว่าค่ะ ข้อดี 1. สร้างการจดจำแบรนด์แก่ลูกค้าใหม่ เมื่อเราจัดทำโปรโมชั่นลูกค้าจะเห็นแบรนด์ของเรามากขึ้นค่ะ ในบางกรณีเราอาจจะขายสินค้าที่เหมือนกับร้านค้าอื่น ๆ จนทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาค่ะ แน่นอนเลยว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคมักจะทำการเลือกดูสินค้าจากหลาย ๆ ร้านและทำการเปรียบเทียบทั้งรีวิว สี ขนาด และรวมถึงราคาด้วย แต่ถ้าร้านค้าของเรามี “คูปอง” ก็จะช่วยดึงดูดลูกค้าได้ ลูกค้าจะเห็นแบรนด์/ร้านค้าของเรา และก่อให้เกิดการจดจำแบรนด์ของเราได้ค่ะ 2. ช่วยเพิ่มยอดขาย การลดราคาจะเป็นตัวกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ไวขึ้น แน่นอนเลยค่ะว่าเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นกับลูกค้าหลายคนก็ยิ่งทำให้ยอดขายเราเพิ่มขึ้นด้วย การแจกคูปองแล้ว “จำกัดสิทธิ์” โดยการใช้คำว่าจำนวนจำกัด จะยิ่งทำให้ลูกค้ารีบกดสั่งซื้อ และรีบทำการโอนเงินเพราะว่าต้องการนำคูปองมาใช้เป็นส่วนลด สาเหตุส่วนนึงเกิดจากการที่ลูกค้ากลัวจะใช้คูปองไม่ทัน คูปองหมดจนทำให้ตัวเองอาจเสียส่วนลดไปนั่นเองค่ะ 3. ติดตามผลได้ง่าย เมื่อเราทำคูปองเราจะต้องคิดว่าเราจะให้ส่วนลดลูกค้าเท่าไหร่ ขั้นต่ำในการซื้อกี่บาทลูกค้าถึงจะสามารถใช้สิทธิ์ได้ และสิ่งเหล่านี้จะต้องการ “ระบุจำนวนของคูปอง” หากเราทำคูปองลดราคาหลายแบบ เราจะรู้ข้อมูลได้ง่ายเลยค่ะ ว่าลูกค้าใช้คูปองเรามากน้อยขนาดไหน และส่วนใหญ่ลูกค้าจะซื้อสินค้าจากร้านเราจำนวนกี่บาท เป็นการเก็บข้อมูลง่าย ๆ วัดผลก็ง่ายด้วยเช่นกันค่ะ ข้อเสีย การแจกคูปองแม้ว่าจะมีข้อดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีข้อเสียเลยนะคะ […]
ปัจจุบันธุรกิจค้าขายในโลกออนไลน์กำลังมาแรง มีช่องทางให้ซื้อขายสินค้าหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น marketplace ชื่อดังอย่าง Lazada หรือ Shopee และโซเซียลมีเดียที่เข้าถึงคนจำนวนมากอย่าง facebook ig ฯลฯ โดยสินค้าที่ขายก็มีมากมาย ไม่ว่าจะขายเสื้อผ้า เครื่องสำอาง ครีม อาหารเสริมต่าง ๆ ถือเป็นธุรกิจที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้ ทำให้เจ้าของร้านค้าที่ต้องการเพิ่มยอดขาย เลือกใช้วิธีเปิดรับตัวแทนจำหน่ายสินค้า ตัวแทนจำหน่ายสินค้ามีความแตกต่างกันไปในแต่ละแบรนด์สินค้า แต่เราสามารถแบ่งประเภทออกมาได้ 3 รูปแบบดังนี้ 1.ตัวแทนจำหน่ายแบบไม่สต๊อคสินค้า ตัวแทนจำหน่ายที่เรียกว่า “ไม่สต๊อคสินค้า” หรือ “Dropship” เหมาะกับแม่ค้ามือหม่ที่ยังไม่มีทุน หรือกำลังอยู่ในวัยเรียน ไม่มีเวลา ต้องการแค่อยากหารายได้เสริม เพราะตัวแทนมีหน้าที่แค่เพียงการโพสหาลูกค้าเท่านั้น แต่หน้าที่แพคของ ส่งของถึงมือลูกค้า เป็นหน้าที่ของเจ้าของแบรนด์ทั้งหมด ถือว่าเป็นประเภทตัวแทนที่กำลังมาแรงมากๆ ในช่วงนี้ ข้อดีของระบบตัวแทนจำหน่ายแบบไม่สต๊อค (Dropship) หน้าที่โพสขายเป็นของตัวแทน หน้าที่ส่งของเป็นของบริษัท เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลา หรือพื้นที่ไว้สต๊อคสินค้า ของไม่จมกับตัวแทนที่ขายไม่ได้ ตัวแทนมีหน้าที่ขายอย่างเดียว 2.ตัวแทนจำหน่ายแบบสต๊อคสินค้า ตัวแทนจำหน่ายที่เรียกว่า “สต๊อคสินค้า” ถือเป็นตัวแทนจำหน่ายแบบแรกๆ […]
ขายของออนไลน์สิ่งสำคัญที่ทำให้ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อ นั้นก็คือ “รูปภาพ” ค่ะ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากเลยที่รูปสินค้าของเราจะต้องดูสวย โดดเด่น ดึงดูดสายตา รูปภาพสวยก็ยิ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจและเพิ่มโอกาสในการขายได้นะคะ แต่การถ่ายรูปให้ออกมาดูดีอาจจะไม่ใช่งานง่ายของใครหลาย ๆ คน แต่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ วันนี้เรามีเทคนิคการถ่ายรูปมาบอกค่ะ 1. เลือกสถานที่ถ่ายภาพให้เหมาะสม การจัดองค์ประกอบรูปภาพเป็นสินค้ามากที่สุดเลยค่ะ เพราะถ้าคุณถ่ายรูปภาพออกมาได้คมชัด แต่ว่าในรูปดันไปเห็นข้าวของอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องสินค้าก็คงไม่น่าดูสักเท่าไหร่ เพราะนั้นจะทำให้ภาพดูรก ไม่น่ามอง และไม่รู้ว่าสายตาจะไปโฟกัสอะไรดี ดังนั้นการถ่ายรูปเราจะต้องเลือก “พื้นหลัง” ให้เหมาะสม เลือกสีพื้นหลังให้เหมาะกับสินค้า อย่าใช้สีพื้นหลังเป็นสีเดียวกับสินค้าเพราะอาจจะทำให้สินค้าไม่โดดเด่น และใช้อุปกรณ์ตกแต่งภาพเพิ่มเติมให้เกี่ยวข้อกับสินค้า ก็จะยิ่งช่วยให้ภาพดูสมบูรณ์และน่าสนใจเพิ่มมากขึ้นค่ะ 2. เลือกแสงให้เหมาะสม หลายคนมักบอกว่าใช้ “แสงธรรมชาติ” จะช่วยให้รูปออกมาสวยมากที่สุด ซึ่งก็เป็นความจริงค่ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสวยเสมอไปนะคะ เนื่องจากต้องดูมุมที่เราถ่ายด้วยค่ะ เพราะถ้าเราถ่ายย้อนแสง สินค้าของเราอาจจะออกมาไม่สวยไม่ชัดหรือภาพสินค้าอาจดูมืดเกินไป หรือถ้าเราถ่ายภาพตอนที่แดดแรง ๆ การถ่ายใกล้กับหน้าต่างก็จะช่วยลดความจ้าของแสงได้นะคะ ทั้งนี้ทั้งนั้นเราจะต้องมองหาหลาย ๆ มุมในบ้าน เพื่อทำการทดลองถ่ายภาพ แล้วเราจะเจอมุมถ่ายรูปสุดโปรดที่ทำให้รูปสินค้าของเราโดดเด่นไม่เหมือนใคร! 3. เลือกมุมการถ่ายให้เหมาะกับสินค้า อย่างแรกที่ต้องคำนึงถึง คือ สินค้าของเราคืออะไร เพราะว่าสินค้าแต่ละแบบอาจจะถ่ายมุมที่แตกต่างกันค่ะ เช่น […]