การขายของออนไลน์ สิ่งสำคัญและสร้างความโดดเด่นคือ “รูปภาพ” ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพสำหรับช่องทางโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ คอนเทนต์ต่าง ๆ ตอนนี้คุณกำลังใช้รูปภาพที่คุณเอง หรือรูปภาพสต็อกที่เอามาจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ? หากคุณกำลังกำลังใช้รูปภาพสต็อกอยู่ เราจะมาบอกเหตุผลว่าทำไมแบรนด์ถึงไม่ควรใช้รูปภาพสต็อกมากจนเกินไป 1. รูปภาพจะซ้ำกับแบรนด์หรือบริษัทอื่น ๆ ภาพถ่ายสต็อกเป็นรูปภาพที่ใคร ๆ ก็สามารถนำมาใช้ได้ทั้งแบบที่ดาวน์โหลดฟรี และเสียค่าลิขสิทธิ์ ดังนั้นก็มีหลายครั้งที่หลายแบรนด์อาจจะถูกใจชื่นชอบรูปภาพเดียวกัน และนำมาใช้เหมือนกัน ทำให้เวลาที่เราทำการโปรโมท รูปภาพของเราก็จะไปซ้ำกับแบรนด์อื่น ๆ และดูไม่ค่อยเป็นเอกลักษณ์มากเท่าไหร่นัก และมีแนวโน้มสูงที่ลูกค้าอาจจะไม่สามารถจดจำแบรนด์ของเราได้ สิ่งที่จะดึงดูดลูกค้าได้ดี คือการใช้ User Generated Content (UGC) ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ลูกค้าสร้างสรรค์ขึ้นมาเองและทำการพูดถึงแบรนด์ หรืออาจจะติดแท็กหาแบรนด์ โดยที่แบรนด์ไม่ต้องทำการว่าจ้างเลย แบรนด์อาจจะจัดแคมเปญทำการโปรโมทเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้าร่วมกิจกรรม 2. รูปภาพสต็อกดูเหมือนการโพสท่า และดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ รูปภาพสต็อกเป็นรูปภาพที่ดูสมบูรณ์แบบ และไม่ค่อยเหมือนความเป็นจริง ยกตัวอย่างเช่น หากคุณหารูปภาพครอบครัวนั่งในห้องเล่น เมื่อคุณใช้ภาพสต็อกคุณจะพบแต่รูปที่มีความสมบูรณ์ ครอบครัวยิ้มแย้ม และห้องถูกจัดแต่งอย่างเป็นระเบียบและสวยงาม ซึ่งในแง่ความเป็นจริง รูปภาพสต็อกอาจจะไม่ค่อยกับสินค้าของบริการเรามักนัก และอาจมีแรงดึงดูดค่อยข้างน้อย ตัวอย่าง : รูปภาพอาหารเช้าของโรงแรมแห่งหนึ่ง รูปซ้าย : […]
ปัจจุบันใคร ๆ ก็หันมาขายสินค้าออนไลน์แล้ว ไม่ว่าจะขายผ่านโซเชียลมีเดีย ไลฟ์สด หรือขายผ่านอี-มาร์เก็ตเพลส ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าการแข่งขันรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ การจะขายสินค้าให้ประสบความสำเร็จอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่นัก บทความนี้จะมาแนะนำเคล็ดลับดี ๆ ที่สาารถช่วยเพิ่มโอกาสให้คุณขายสินค้าได้ดีมากยิ่งขึ้น 1. ลูกค้าแก้ไข/ยกเลิกออเดอร์ได้ ถ้าคุณขายของออนไลน์ หรือไลฟ์สดขายของ ในบางครั้งลูกค้าอาจจะกดสั่งซื้อสินค้าผิด เช่น ผิดสี ผิดไซส์ อยากแก้จำนวน เป็นต้น หรือปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกอยาก “เปลี่ยนใจ” ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขออเดอร์หรือยกเลิกออเดอร์ เป็นสิ่งที่ร้านค้าต้องพร้อมรับมือตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น หากคุณไลฟ์ขายของแล้วใช้ระบบช่วยดำเนินงาน บางโปรแกรมลูกค้าอาจจะกดยกเลิกออเดอร์ด้วยตนเองไม่ได้ ดังนั้นร้านค้าจะต้องมีแอดมินเพื่อคอยให้บริการอยู่เสมอ 2. จ่ายเงินเพิ่มเพื่อเป็น VIP ถ้าคุณทำสินค้าหรือบริการ ก็เสริมบริการพิเศษหรือมีแพ็คเกจแบบพรี่เมี่ยมเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจมากเลยค่ะ เพราะในปัจจุบันลูกค้ายอมที่จะเสียเงินเพิ่มเพื่อรับสิทธิประโยชน์ สิทธิพิเศษต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ยอมจ่ายเงินรายเดือนให้แพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อที่สามารถดูสื่อบันเทิงได้โดยไม่มีโฆษณาคั่น หรือเสียเงินเพิ่มขึ้่นเพื่อรับประสบการณ์การให้บริการแบบพิเศษ ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้มักจะเป็นลูกค้าขาประจำและจงรักภักดีต่อแบรนด์ของเราเป็นอย่างมาก 3. มีบริการเก็บเงินปลายทาง (COD) การมีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลายเป็นจำเป็นสำหรับยุคนี้จริง ๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงิน การจ่ายผ่านบัตรเดบิต/บัตรเครดิต หรือแม้แต่การจ่ายด้วยเงินสด สำหรับร้านค้าออนไลน์ก็สามารถเปิดให้ลูกค้าจ่ายเงินสดได้เช่นเดียวกันค่ะ […]
หนึ่งในปัญหาน่าปวดหัวที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์อาจจะเจอกันบ่อย นั้นก็คือ “สลิปปลอม” ที่มิจฉาชีพมักเข้ามาหลอกลวงร้านค้า โดยการเข้ามาหลอกว่าซื้อสินค้า และแจ้งการชำระเงินกับร้านค้า แต่ส่งสลิปปลอมให้กับร้านค้า จนทำให้ร้านค้าเกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก บทความเราจะมาดูวิธีการตรวจสอบสลิปปลอม เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดดังกล่าวกันค่ะ 1. สังเกตความละเอียดของ ตัวเลข หรือ ตัวหนังสือ หากเป็นสลิปปลอม แบบของตัวหนังสือบนสลิป ในส่วนของ ชื่อผู้โอน จำนวนเงิน วันที่ เวลา อาจจะเป็นตัวหนังสือคนละแบบ หรือความหนา บางของตัวอักษรจะไม่เท่ากัน หากเป็นเช่นนี้ อาจตั้งข้อสงสัยได้ว่าเป็นสลิปปลอม 2. สแกน QR CODE บนสลิปโอนเงิน สลิปโอนเงินที่เป็นรูปแบบ E-Slip จะมี QR code ให้เราสามารถตรวจสอบ ชื่อผู้โอน จำนวนเงิน วันและเวลาที่โอนเงินได้ หากยอดเงินไม่ตรง หรือไม่สามารถตรวจสอบได้ ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนเลยว่าเป็น “สลิปปลอม” 3. ใช้บริการแจ้งเตือน ของธนาคาร เมื่อลูกค้าส่งสลิปให้ทางพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ หากสมัครใช้บริการแจ้งเตือนของทางธนาคาร ก็จะทำให้เราทราบว่ามียอดเงินเข้าจริงหรือไม่ และนำไปเทียบยอดเงินเข้ากับสลิปที่ลูกค้าแจ้งว่าตรงกันหรือไม่ 4. ใช้ระบบจัดการร้านค้าที่มีฟังก์ชันช่วยเช็คสลิปโอนเงินอัตโนมัติ ในกรณีที่ร้านค้าออนไลน์มียอดการสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก […]
ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไร ก็ย่อมต้องมีคู่แข่งขันทางธุรกิจ กุญแจสำคัญที่คุณจะเอาชนะได้ คือคุณจะต้องรู้จักสินค้าหรือบริการคุณเป็นอย่างดี และไม่ควรมองข้ามคู่แข่งทางธุรกิจของคุณ ซึ่งคู่แข่งทางธุรกิจไม่ได้มีแค่แบบเดียว วันนี้เราจะมาดูกันค่ะว่ามีคู่แข่งประเภทใดบ้าง 1. คู่แข่งทางตรง คู่แข่งขันประเภทนี้น่าจะเป็นคู่แข่งที่เจ้าของธุรกิจมักจะระมัดระวังและจับตามองคู่แข่งอยู่แล้ว คู่แข่งทางตรงจะเป็นกลุ่มที่ขายสินค้าหรือให้บริการที่มีความคล้ายคลึงกับธุรกิจของเรา หรือจะเหมือนกันกับเราเลยก็ได้ เป็นคู่แข่งที่เราจะต้องเผชิญกับการแย่งฐานลูกค้ากันโดยตรง การแข่งขันประเภทนี้เป็นสิ่งที่คุณต้องจับตามอง เนื่องจากสินค้าร้านเรากับร้านของคู่แข่งมีความคล้ายกัน หรืออาจจะเหมือนกัน นั่นหมายความว่าเมื่อลูกค้าไปซื้อสินค้าที่ร้านของคู่แข่ง ลูกค้าก็จะไม่มาซื้อสินค้าร้านของคุณ 2. คู่แข่งทางอ้อม เป็นคู่แข่งขันที่อยู่ในธุรกิจประเภทเดียวกัน แต่ไม่ได้ขายสินค้าหรือให้บริการเหมือนกับเรา และสามารถช่วยลูกค้าแก้ปัญหาเดียวกันได้ ยกตัวอย่างเช่น คุณอยู่ในอุตสาหกรรมอาหาร คุณขายอาหารไทย แต่คู่แข่งของคุณขายอาหารฟาสต์ฟู้ด ร้านของพวกคุณมีเมนูอาหารที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อลูกค้าต้องการทานอาหาร เขาจะสามารถซื้ออาหารจากร้านของคุณหรือคู่แข่งก็ได้ เพราะว่าสามารถทำให้ลูกค้าอิ่มท้องได้เหมือนกัน 3. ผู้เข้าแข่งขันทดแทน คุณและคู่แข่งของคุณจะขายสินค้าหรือให้บริการที่มีความคล้ายคลึงกัน ช่วยลูกค้าแก้ปัญหาได้เหมือนกัน แต่จะมีวิธีการนำเสนอที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น คุณให้บริการรถทัวร์ไป-กลับต่างจังหวัด ในขณะที่คู่แข่งของคุณให้บริการด้วยเครื่องบิน ซึ่งมีความรวดเร็วมากกว่า ซึ่งธุรกิจทั้ง 2 แบบสามารถช่วยให้ลูกค้าเดินทางไปต่างจังหวัดได้ แต่มีวิธีการที่แตกต่างกันค่ะ สรุปแล้วคุ๋แข่งแบบนี้ คือ มีสินค้าหรือบริการต่างกันแต่มีวัตถุประสงค์เดียวกันนั่นเองค่ะ หลังจากที่คุณอ่านจนจบแล้ว อย่าลืมทำการสำรวจและวิเคราะห์ดูนะคะว่ามีธุรกิจใดบ้างที่เป็นคู่แข่งขันของคุณ 5 วิธีเอาชนะคู่แข่งขันทางธุรกิจ และอย่าลืมวางแผนกลยุทธ์และหมั่นทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าของคุณอย่างสม่ำเสมอด้วยนะคะ SHIPPOP เรามีขนส่งรองรับมากกว่า 18 ขนส่ง […]
หากธุรกิจของคุณขายสินค้าใน Facebook อยู่แล้ว คุณเคยคิดที่จะเปิดขายสินค้าผ่านทางFacebook Group ด้วยหรือยัง เพราะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลัง และช่วยดึงดูดลูกค้าได้ ปัจจุบันการทำกลุ่มเฟซบุ๊กมีอยู่หลายรูปแบบ เราจะมาดูกันว่าธุรกิจของเราเหมาะกับการเปิดกลุ่มแบบใด และการเปิดกลุ่มนั้นมีประโยชน์อย่างไรต่อธุรกิจของคุณ ประเภทของกลุ่ม Facebook สิ่งที่คุณต้องทำความเข้าใจก่อนเปิด Facebook Group คือต้องรู้ว่าการเปิดกลุ่มนั้นมีกี่แบบ เพื่อทำการพิจารณาว่าธุรกิจของเราเหมาะกับการเปิดกลุ่มในรูปแบบใด 1. Public : สาธารณะ ทุกคนที่อยู่บน Facebook สามารถค้นหากลุ่มของคุณได้ สามารถเห็นโพสต์ต่าง ๆ ในกลุ่ม รวมถึงสิ่งที่คนในกลุ่มพูดคุย แสดงความคิดเห็นกัน และคนอื่นยังสามารถดูได้ด้วยว่าในกลุ่มของคุณมีใครอยู่บ้าง สิ่งที่ควรระวัง คือ “สแปม” เพราะเมื่อคุณเปิดสาธารณะนั้นหมายความว่าใครจะมาโพสต์อะไรก็ได้ ดังนั้นคุณจะต้องทำการลบโพสต์ที่เป็นสแปม หรือโพสต์ที่ไม่เหมาะสมและส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ 2. Private : ส่วนตัว เป็นการเปิดกลุ่มแบบส่วนตัว ซึ่งจะแบ่งย่อยออกเป็น 2 แบบค่ะ 2.1 Private – Visible กลุ่มส่วนตัวที่เปิดการมองเห็น หมายความว่า ทุกคนที่อยู่ใน Facebook สามารถค้นหากลุ่มของคุณเจอ แต่ผู้คนเหล่านั้นจะไม่เห็นโพสต์ต่าง […]
เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับคำว่า Flash Sale กันเป็นอย่างดี เรามักจะพบเห็นบน E-Marketplace ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ แล้วธุรกิจของเราควรทำการตลาดจัดโปรโมชั่นแบบนี้หรือไม่? Flash Sale คืออะไร เหมาะกับธุรกิจคุณหรือไม่? การขายสินค้าแบบแฟลชเซลล์ (Flash Sale) เป็นการที่ร้านค้าเสนอส่วนลดพิเศษ หรือจัดโปรโมชั่นให้กับลูกค้า เป้าหมายหลักของการขายด้วยรูปแบบนี้คือ ต้องการกระตุ้นยอดซื้อ ซึ่งจะมีวิธีการที่แตกต่างจากการขายสินค้าออนไลน์ทั่วไปอยู่ 3 อย่างค่ะ คือ 1. ให้ส่วนลดหรือจัดโปรโมชั่น : เป็นการขายสินค้าในราคาที่ถูกกว่าราคาปกติ หรืออาจจะจัดขายเป็นเซท หรือจัดโปร 1 แถม 1 2. กำหนดระยะเวลาชัดเจน : ส่วนใหญ่การขายแบบนี้จะกำหนดระยะเป็นรายชั่วโมง เช่น สินค้าราคาพิเศษลูกค้าจะต้องซื้อภายในช่วงเวลา 11.00 – 12.00 น. 3. สินค้าที่ให้เลือกจะมีจำนวนจำกัด : การขายแบบนี้เราต้องกำหนดจำนวนให้ชัดเจนค่ะ เพื่อทำการคำนวณต้นทุนต่าง ๆ และต้องดูความพร้อมของสต๊อกสินค้าด้วยนะคะ การขาย Flash Sale เหมาะกับธุรกิจของเราไหม? ใคร […]