ปัญหาน่าปวดหัวของคนขายของออนไลน์แบบสต๊อกสินค้าจะต้องเจอ คือการที่เราสต๊อกสินค้าเอาไว้จนแน่นเอี๊ยดจนเต็มคลังสินค้า แต่ดันขายไม่หมด เหลือสินค้าค้างสต๊อกเป็นจำนวนมาก จนต้องมานั่งกลุ้มใจว่าจะทำอย่างไรกับของที่เหลือค้างสต๊อกดี? บทความเรามี 4 เคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณได้ระบายสินค้าค้างสต๊อก และสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ 1. วางสินค้าค้างสต๊อกให้เด่น เมื่อคุณมีสินค้าค้างสต๊อกเป็นจำนวนมาก ขายได้ไม่ค่อยดีนัก ลองเปลี่ยนการจัดวางสินค้าดู เนื่องจากสินค้านั้นอาจจะไม่ได้อยู่ในระดับสายตาของลูกค้าจึงส่งผลให้ยอดขายน้อย ลองเปลี่ยนการจัดวางให้สินค้าชิ้นนั้นดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น และวางในจุดระดับสายตาของลูกค้า จะช่วยเพิ่มความน่าดึงดูดและเป็นการเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะซื้อสินค้าเหล่านั้นเพิ่มมากขึ้นค่ะ 2. จัดโปรโมชันพิเศษ กลยุทธ์ยอดนิยมตลอดกาลและมักได้ผลตอบรับดีอยู่เสมอ ไม่ว่าแบรนด์เล็กหรือแบรนด์ต่างก็ใช้กลยุทธ์นี้กันทั้งนั้น นั้นก็คือ ‘การจัดโปรโมชั่นพิเศษ’ ซึ่งสามารถทำได้หลากหลายวิธีเลย ยกตัวอย่างเช่น การลดราคาสินค้าพิเศษ อาจจะกำหนดราคาลดแล้วที่แน่นอนเลย หรือกำหนดลดราคาเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ได้เช่นกันนะคะ ข้อควรระวังคือ อย่าจัดโปรโมชั่นลดราคาบ่อยหรือถี่จนเกินไปค่ะ เพราะลูกค้าจะรอซื้อสินค้าแค่ช่วงที่แบรนด์จัดโปรเท่านั้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อยอดขายในระยะยาวได้นั่นเองค่ะ 3. เปลี่ยนให้เป็นของแถม ถ้าสินค้าค้างสต๊อกเป็นจำนวน แ้จะเปลี่ยนการจัดวาง จัดโปรโมชั่นพิเศษแล้วแต่ยอดขายกลับไม่ดีขึ้น เราแนะนำให้นำสินค้าเหล่านี้เปลี่ยนเป็นของแถมคู่กับสินค้าอื่น ๆ ที่อยู่ภายในร้านค้าค่ะ แต่ในส่วนนี้จะต้องทำการคำนวณต้นทุนให้ดีนะคะ เพื่อที่จะได้ไม่เสี่ยงต่อการขายขาดทุนค่ะ การใช้กลยุทธ์นี้สามารถเพิ่มความประทับใจที่ลูกค้ามีต่อร้านค้าได้ด้วยนะคะ 4. ต่อยอดให้เป็นสินค้าใหม่ การออกสินค้าใหม่อาจจะไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องผลิตสินค้าใหม่เสมอไปนะคะ เนื่องจากคุณสามารถนำสินค้าเก่ามาปรับหรือต่อยอดให้เป็นสินค้าแบบใหม่ได้ ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือการจัดเซทของขวัญตามเทศกาลต่าง ๆ เปลี่ยนแพคเกจสินค้า จับคู่สินค้าภายในร้านเพิ่มการตกแต่งแพคเกจนิดหน่อยก็สามารถทำให้เป็นสินค้าใหม่ได้แล้วค่ะ […]
การขายของออนไลน์ สิ่งสำคัญและสร้างความโดดเด่นคือ “รูปภาพ” ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพสำหรับช่องทางโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ คอนเทนต์ต่าง ๆ ตอนนี้คุณกำลังใช้รูปภาพที่คุณเอง หรือรูปภาพสต็อกที่เอามาจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ? หากคุณกำลังกำลังใช้รูปภาพสต็อกอยู่ เราจะมาบอกเหตุผลว่าทำไมแบรนด์ถึงไม่ควรใช้รูปภาพสต็อกมากจนเกินไป 1. รูปภาพจะซ้ำกับแบรนด์หรือบริษัทอื่น ๆ ภาพถ่ายสต็อกเป็นรูปภาพที่ใคร ๆ ก็สามารถนำมาใช้ได้ทั้งแบบที่ดาวน์โหลดฟรี และเสียค่าลิขสิทธิ์ ดังนั้นก็มีหลายครั้งที่หลายแบรนด์อาจจะถูกใจชื่นชอบรูปภาพเดียวกัน และนำมาใช้เหมือนกัน ทำให้เวลาที่เราทำการโปรโมท รูปภาพของเราก็จะไปซ้ำกับแบรนด์อื่น ๆ และดูไม่ค่อยเป็นเอกลักษณ์มากเท่าไหร่นัก และมีแนวโน้มสูงที่ลูกค้าอาจจะไม่สามารถจดจำแบรนด์ของเราได้ สิ่งที่จะดึงดูดลูกค้าได้ดี คือการใช้ User Generated Content (UGC) ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ลูกค้าสร้างสรรค์ขึ้นมาเองและทำการพูดถึงแบรนด์ หรืออาจจะติดแท็กหาแบรนด์ โดยที่แบรนด์ไม่ต้องทำการว่าจ้างเลย แบรนด์อาจจะจัดแคมเปญทำการโปรโมทเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้าร่วมกิจกรรม 2. รูปภาพสต็อกดูเหมือนการโพสท่า และดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ รูปภาพสต็อกเป็นรูปภาพที่ดูสมบูรณ์แบบ และไม่ค่อยเหมือนความเป็นจริง ยกตัวอย่างเช่น หากคุณหารูปภาพครอบครัวนั่งในห้องเล่น เมื่อคุณใช้ภาพสต็อกคุณจะพบแต่รูปที่มีความสมบูรณ์ ครอบครัวยิ้มแย้ม และห้องถูกจัดแต่งอย่างเป็นระเบียบและสวยงาม ซึ่งในแง่ความเป็นจริง รูปภาพสต็อกอาจจะไม่ค่อยกับสินค้าของบริการเรามักนัก และอาจมีแรงดึงดูดค่อยข้างน้อย ตัวอย่าง : รูปภาพอาหารเช้าของโรงแรมแห่งหนึ่ง รูปซ้าย : […]
ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา พฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้บริโภคคนไทย ทำให้จำนวนพัสดุมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น คืออัตราการเติบโตของ “สินค้าขนาดใหญ่” บริษัท ขนส่งชื่อดัง Flash Express จึงได้เปิดตัวบริการใหม่ Flash Bulky ส่งของไซส์ใหญ่ได้ 100 กก. รับฟรีถึงหน้าบ้าน โดยลูกค้า Business SHIPPOP สามารถใช้บริการนี้ได้ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 ส่วนหน้าร้าน SHIPPOP Franchise ทุกสาขาทั่วประเทศ สามารถใช้บริการนี้ได้ ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป ตรวจสอบราคาค่าจัดส่ง และเงื่อนไขการให้บริการ ด้านล่าง เงื่อนไขเบื้องต้น 1. บริษัท ชิปป๊อป จำกัด ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าขนส่งโดยแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน ราคาดังกล่าวข้างต้นยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (ถ้ามี) 2. พัสดุจะต้องมีการห่อหุ้มที่แข็งแรงเหมาะสมต่อการขนส่งและเป็นไปตามข้อกำหนด เงื่อนไขการบริการ และมาตรฐานที่ Flash Express […]
ปัจจุบันใคร ๆ ก็หันมาขายสินค้าออนไลน์แล้ว ไม่ว่าจะขายผ่านโซเชียลมีเดีย ไลฟ์สด หรือขายผ่านอี-มาร์เก็ตเพลส ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าการแข่งขันรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ การจะขายสินค้าให้ประสบความสำเร็จอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่นัก บทความนี้จะมาแนะนำเคล็ดลับดี ๆ ที่สาารถช่วยเพิ่มโอกาสให้คุณขายสินค้าได้ดีมากยิ่งขึ้น 1. ลูกค้าแก้ไข/ยกเลิกออเดอร์ได้ ถ้าคุณขายของออนไลน์ หรือไลฟ์สดขายของ ในบางครั้งลูกค้าอาจจะกดสั่งซื้อสินค้าผิด เช่น ผิดสี ผิดไซส์ อยากแก้จำนวน เป็นต้น หรือปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกอยาก “เปลี่ยนใจ” ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขออเดอร์หรือยกเลิกออเดอร์ เป็นสิ่งที่ร้านค้าต้องพร้อมรับมือตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น หากคุณไลฟ์ขายของแล้วใช้ระบบช่วยดำเนินงาน บางโปรแกรมลูกค้าอาจจะกดยกเลิกออเดอร์ด้วยตนเองไม่ได้ ดังนั้นร้านค้าจะต้องมีแอดมินเพื่อคอยให้บริการอยู่เสมอ 2. จ่ายเงินเพิ่มเพื่อเป็น VIP ถ้าคุณทำสินค้าหรือบริการ ก็เสริมบริการพิเศษหรือมีแพ็คเกจแบบพรี่เมี่ยมเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจมากเลยค่ะ เพราะในปัจจุบันลูกค้ายอมที่จะเสียเงินเพิ่มเพื่อรับสิทธิประโยชน์ สิทธิพิเศษต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ยอมจ่ายเงินรายเดือนให้แพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อที่สามารถดูสื่อบันเทิงได้โดยไม่มีโฆษณาคั่น หรือเสียเงินเพิ่มขึ้่นเพื่อรับประสบการณ์การให้บริการแบบพิเศษ ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้มักจะเป็นลูกค้าขาประจำและจงรักภักดีต่อแบรนด์ของเราเป็นอย่างมาก 3. มีบริการเก็บเงินปลายทาง (COD) การมีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลายเป็นจำเป็นสำหรับยุคนี้จริง ๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงิน การจ่ายผ่านบัตรเดบิต/บัตรเครดิต หรือแม้แต่การจ่ายด้วยเงินสด สำหรับร้านค้าออนไลน์ก็สามารถเปิดให้ลูกค้าจ่ายเงินสดได้เช่นเดียวกันค่ะ […]
หนึ่งในปัญหาน่าปวดหัวที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์อาจจะเจอกันบ่อย นั้นก็คือ “สลิปปลอม” ที่มิจฉาชีพมักเข้ามาหลอกลวงร้านค้า โดยการเข้ามาหลอกว่าซื้อสินค้า และแจ้งการชำระเงินกับร้านค้า แต่ส่งสลิปปลอมให้กับร้านค้า จนทำให้ร้านค้าเกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก บทความเราจะมาดูวิธีการตรวจสอบสลิปปลอม เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดดังกล่าวกันค่ะ 1. สังเกตความละเอียดของ ตัวเลข หรือ ตัวหนังสือ หากเป็นสลิปปลอม แบบของตัวหนังสือบนสลิป ในส่วนของ ชื่อผู้โอน จำนวนเงิน วันที่ เวลา อาจจะเป็นตัวหนังสือคนละแบบ หรือความหนา บางของตัวอักษรจะไม่เท่ากัน หากเป็นเช่นนี้ อาจตั้งข้อสงสัยได้ว่าเป็นสลิปปลอม 2. สแกน QR CODE บนสลิปโอนเงิน สลิปโอนเงินที่เป็นรูปแบบ E-Slip จะมี QR code ให้เราสามารถตรวจสอบ ชื่อผู้โอน จำนวนเงิน วันและเวลาที่โอนเงินได้ หากยอดเงินไม่ตรง หรือไม่สามารถตรวจสอบได้ ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนเลยว่าเป็น “สลิปปลอม” 3. ใช้บริการแจ้งเตือน ของธนาคาร เมื่อลูกค้าส่งสลิปให้ทางพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ หากสมัครใช้บริการแจ้งเตือนของทางธนาคาร ก็จะทำให้เราทราบว่ามียอดเงินเข้าจริงหรือไม่ และนำไปเทียบยอดเงินเข้ากับสลิปที่ลูกค้าแจ้งว่าตรงกันหรือไม่ 4. ใช้ระบบจัดการร้านค้าที่มีฟังก์ชันช่วยเช็คสลิปโอนเงินอัตโนมัติ ในกรณีที่ร้านค้าออนไลน์มียอดการสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก […]