ท่ามกลางกระแสการขายของออนไลน์ ตอนนี้เชื่อว่าหลายท่านกำลังเจอปัญหาร้านค้าคู่แข่งที่ขายสินค้าหรือทำบริการคล้ายคลึงกับเรา จนอาจทำให้เราเสียลูกค้าไปโดยไม่รู้ตัว แล้วเราจะทำอย่างไรให้ธุรกิจของเรานั้นอยู่รอด? วันนี้เรามีเคล็ดลับดี ๆ เพื่อช่วยให้ร้านค้าของคุณเอาชนะคู่แข่งขันได้ค่ะ 1. รู้ความเคลื่อนไหวของคู่แข่งขัน ก่อนอื่นคุณลองคิดวิเคราะห์ดูก่อนเลยว่า ในขณะนี้มีธุรกิจไหนที่เขาเป็นคู่แข่งขันของคุณบ้าง ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม เพราะคู่แข่งพร้อมเสมอที่จะแย่งลูกค้าไปจากคุณได้ทุกเวลา ดังนั้นการที่คุณรู้ความเคลื่อนไหว คุณจะเห็นว่าตอนนี้คู่แข่งกำลังทำอะไร เขากำลังดึงดูดหรือต้องการลูกค้าแบบไหน เมื่อคุณความเคลื่อนไหวคุณจะเตรียมรับมือได้ แต่ถ้าหากคุณไม่สนใจคู่แข่งเลย ก็เป็นสิ่งที่ต้องระวังเพราะคุณอาจจะเสียลูกค้าไปโดยไม่รู้ตัว 2. รู้จักลูกค้าของเรา รู้จักคู่แข่งแล้วแต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องทำทุกอย่างเหมือนที่คู่แข่งของเรานะคะ เนื่องจากลูกค้าเขากับลูกค้าเราอาจจะแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือ คุณต้องรู้จักลูกค้าของคุณให้ดีว่าเขาเป็นคนแบบไหน ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ทำอะไรแล้วลูกค้าให้ผลตอบรับดี เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยมัดใจให้ลูกค้าจงรักภักดีต่อแบรนด์ เกิดความประทับใจ และไม่เปลี่ยนใจไปหาคู่แข่งขันอย่างแน่นอนค่ะ 3. ขยายหรือต่อยอดธุรกิจ ถ้าอยากให้ธุรกิจเติบโต เราต้องคิดแล้วว่าธุรกิจที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้สามารถต่อยอดทำอะไรได้อีกบ้าง เพื่อที่เราจะได้ขยายฐานลูกค้า ทำให้สินค้าหรือบริการที่ครอบคลุม ยิ่งถ้าคุณต่อยอดธุรกิจที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถได้ง่าย สะดวก และแก้ปัญหาของลูกค้าได้ คุณก็ได้รับผลตอบรับที่ดี แล้วถ้าหากเรามีมากกว่าของคู่แข่ง ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ลูกค้าจะเลือกใช้และเลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากเราค่ะ 4. ทำให้ลูกค้าติดต่อง่าย สิ่งนี้สำคัญมาก ๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณตอบช้า ก็เสี่ยงที่จะเสียลูกค้าไปได้ทุกเมื่อเลยค่ะ นึกภาพง่าย ๆ ว่า ถ้าลูกค้าติดต่อทั้งเราและติดต่อกับคู่แข่งด้วย ถ้าบริษัทคู่แข่งตอบกลับลูกค้าได้ไวมากกว่าเรา เขาก็อาจจะปิดการขายได้ทันที […]
การจัดส่งสินค้าเป็นหนึ่งในสิ่งที่มัดใจลูกค้าได้ แต่ก็ยังมีขั้นตอนนะคะที่สำคัญไม่แพ้กันเลย นั้นคือขั้นตอนของการ “แพ็ค” ค่ะ เนื่องจากถ้าเราแพ็คสินค้าดี แพ็คแน่นหนา สินค้าเราจะไม่ได้รับผลกระทบเวลาขนส่งค่ะ และสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าได้ดีมาก ๆ 1. ห่อบับเบิ้ล กันกระแทกให้แน่นหนา สิ่งสำคัญที่สุดของการส่งสินค้า คือ สินค้าต้องไม่ได้รับความเสียหายค่ะ เพราะฉะนั้นการห่อบับเบิ้ลหรือที่กันกระแทกเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ เราควรห่อให้แน่นหนาไม่ควรห่อบางจนเกินไปเพราะถ้าหากในกล่องมีช่องว่างสินค้าของคุณก็เสี่ยงที่จะได้รับเสียหาย 2. เตรียมซอง และกล่องพัสดุให้หลากหลาย หากร้านค้าของคุณขายสินค้าหลายหลายประเภท หลายขนาด ก็ควรมีทั้งซองและกล่องให้หลากหลายขนาดค่ะ เพราะแต่ละออเดอร์สจะมียอดการสั่งซื้อที่แตกต่างกัน ดังนั้นหากเรามีกล่องหลายขนาดก็จะช่วยให้เราแพ็คของได้ไวด้วยนะคะ ช่วยลดระยะเวลาหารทำงานค่ะ เพราะหากคุณไม่เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมคุณก็จะเสียเวลาในการออกไปข้างนอกหรือต้องต่อแถวเพื่อซื้ออุปกรณ์ที่ไปรษณีย์ 3. เลือกกล่องให้เหมาะกับสินค้า การมีกล่องหลายขนาดก็ดีตรงที่เราสามารถ “เลือกกล่องให้เหมาะกับสินค้า” หากเราเลือกขนาดกล่องได้เหมาะสมก็ช่วยให้เราประหยัดบับเบิ้ลกันกระแทกได้นะคะ เพราะปกติแล้วถ้าเราห่อกันกระแทกสินค้าแล้ว หากมีพื้นที่ว่างในกล่องเราก็ต้องหากระดาษมายัดเพื่อให้ในกล่องไม่มีช่องว่าง ลดการเกิดแรงกระแทก ดังนั้นถ้าเราเลือกกล่องให้เหมาะสมก็ช่วยเราประหยัดอุปกรณ์ในการแพ็ค และสินค้าไม่เสี่ยงที่จะเสียหายด้วยค่ะ 4. เขียนหรือพิมพ์ใบปะหน้าข้อมูลผู้รับผู้ส่ง เตรียมข้อมูลชื่อที่อยู่ผู้รับผู้ส่งให้เรียบร้อย และเขียนข้อมูลให้ครบถ้วน หากมีเบอร์โทรศัพท์ลูกค้าก็ควรกรอกรายละเอียดไปด้วยนะคะ เผื่อทางขนส่งใช้เพื่อติดต่อในการส่งสินค้า แต่บางทีการเขียนอาจจะเกิดปัญหาที่ทางขนส่ง “อ่านลายมือไม่ออก” ทำให้อาจเกิดความล่าช้าในการขนส่งหรืออาจส่งผิดได้ค่ะ ทางแก้อีกหนึ่งวิธี คือ “การพิมพ์ใบปะหน้า” ซึ่งข้อมูลจะถูกต้องและแม่นยำมากขึ้น เนื่องจากเราสามารถนำข้อความของลูกค้ามากรอกและปริ้นได้เลย SHIPPOP เรารองรับการพิมพ์ใบปะหน้า […]
แม่ค้าออนไลน์ที่ขายของแต่ไม่ได้สร้างแบรนด์เป็นของตนเอง อาจจะต้องเจอปัญหาที่สินค้าของเราเหมือนกับร้านค้าอื่น ๆ ส่งผลให้ขายยากขึ้น คู่แข่งมีเยอะ เพราะฉะนั้นเราจะต้องสร้าง “ความแตกต่าง” ให้กับสินค้าของเราค่ะ เพื่อทำให้สินค้าของเรานั้นสะดุดตาและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้ค่ะ 1. สร้างความแตกต่างด้วยกล่องพัสดุ หากเรารู้สึกว่าสินค้าเป็นของที่เราอาจไม่ได้แตกต่างจากร้านค้ารายอื่นมากนัก เราก็สามารถสร้างความแตกต่างด้วยกล่องพัสดุได้นะคะ เพราะเมื่อลูกค้าได้รับของ สิ่งแรกที่ลูกค้านั้นก็คือ “กล่องพัสดุ” ค่ะ ถ้าเราส่งสินค้าแล้วใช้กล่องรูปแบบเดิมลูกค้าก็จะจดจำเราได้ ลองนึกภาพตามดูนะคะถ้ามีกองพัสดุวางรวมกันสัก 10 กล่อง ทุก ๆ กล่องมีหน้าตาเหมือนกันหมดก็ไม่ได้มีกล่องไหนโดดเด่นเลยใช่ไหมคะ แต่ถ้ากล่องพัสดุเป็นสีฟ้าสดใส พัสดุนั้นก็จะเป็นกล่องที่โดดเด่นมากที่สุดนั้นเองค่ะ แน่นอนเลยว่าถ้าลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำแล้วได้รับกล่องแบบเดิม ลูกค้าก็จะจำได้ทันทีว่าเป็นสินค้าจากร้านของเราค่ะ 2. สร้างความแตกต่างด้วยสก็อตเทป หากรู้สึกว่าการใช้กล่องจะต้องใช้ต้นทุนเพิ่ม เราขอแนะนำให้คุณเลือกใช้เป็น “สก็อตเทป” ค่ะ เพราะเป็นอุปกรณ์อย่างนึงที่เราจะต้องใช้ในการแพคของกันอย่างแน่ นอนเลย เราอาจจะใช้สก็อตเทปที่มีสีสันต่าง ๆ เพื่อให้กล่องดูสะดุดตาขึ้น หรือทำเป็นสีใสและมีชื่อของร้านค้า ก็ช่วยเพิ่มความโดดเด่นสร้างความแตกต่างให้กับกล่องพัสดุของเราได้เป็นดีเลยนะคะ 3. แนบการ์ดเล็ก ๆ ไว้ในกล่อง ไม่มีทั้งกล่องและไม่มีสก็อตเทปเลยจะทำยังไงดี? อีกหนึ่งทางเลือกที่เรามั่นใจว่าน่าจะทำตามได้ง่าย คือ การที่เราทำการ์ดเขียนข้อความแล้วแนบไว้ในกล่องพัสดุค่ะ เราอาจจะใช้กระดาษ A4 ธรรมดา แล้วพิมพ์ข้อความขอบคุณลูกค้าที่อุดหนุน เป็นเหมือนโน้ตเล็ก ๆ […]
ขายของออนไลน์ได้แล้วก็อย่าลืมที่จะรักษาฐานลูกค้าเก่า และทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำกันด้วยนะคะ แต่การที่จะทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำก็อาจจะยากสำหรับใครหลาย ๆ คน ดังนั้นวันนี้เราจะมาดูกันค่ะว่า เราต้องอย่างไรเพื่อให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ 1. จัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย การทำแคมเปญทางการตลาดเป็นอีกหนึ่งวิธีที่กระตุ้นให้ลูกค้าสนใจและกลับมาซื้อซ้ำได้เป็นอย่างดียกตัวอย่างเช่น จัดโปรโมชั่น ซื้อ 1 แถม 1, ลดราคา 30%, การให้โค้ดหรือคูปองส่วนลด เป็นต้น แต่ก็ไม่ควรจัดโปรโมชั่นบ่อยหรือถี่เกินไปนะคะ เนื่องจากว่าหากเราจัดโปรโมชั่นบ่อย ๆ เวลาที่เราขายสินค้าในราคาปกติ ลูกค้าอาจจะไม่ซื้อสินค้าแต่จะรอซื้อแค่ตอนลดราคาเท่านั้นค่ะ 2. ส่งข้อความแจ้งเตือนหาลูกค้า หากเราทำการเก็บข้อมูล เราจะมีข้อมูลเพื่อเอาไว้เพื่อติดต่อกับลูกค้า หากกลัวว่าลูกค้าจะรำคาญ เราขอแนะนำให้คุณเลือกส่งข้อความผ่านช่องทางอีเมล์ แต่ถ้าคุณเปิดเพจทางเฟซบุ๊คหรือมีไลน์ออฟฟิเชียลของแบรนด์ นี้แหละค่ะที่จะเป็นช่องทางสำคัญที่เห็นผลได้ดีเลย เพราะบุคคลที่ติดตามเรานั้นเป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกค้าเก่า หรือลูกค้าที่สนใจแบรนด์ของเรา เมื่อเรามีข่าวสารต่าง ๆ เช่น สินค้าออกใหม่, สินค้าโปรโมชั่น, แจ้งวันหยุด เราสามารถทำการบรอดแคสต์เพื่อส่งข้อความหาลูกค้าได้ทันที 3. ให้บริการด้วยใจ ใส่ใจในรายละเอียด การให้บริการเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่สามารถมัดใจลูกค้าได้ การที่ใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ ของลูกค้า ก็สามารถสร้างความประทับใจได้นะคะ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ เหมือนเราเดินเข้าไปร้านค้าร้านนึง แล้วร้านค้านั้นจดจำได้ว่าเราชอบอะไรไม่ชอบอะไร แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพฤติกรรมลูกค้าแต่ละคนเป็นอย่างไร? เราก็ต้องทำการบันทึกข้อมูลไว้ค่ะ […]
การเพิ่มยอดขายไม่ได้หมายความว่าเราจะทำกำไรจากการ “ตั้งราคาสินค้า” อย่างเดียวเท่านั้นนะคะ เนื่องจากเราสามารถทำได้หลากหลายวิธีเลยค่ะ หนึ่งในนั้นก็คือ “การเพิ่มยอดขายด้วยการส่งของ” เนื่องจากเป็นอีกส่วนหนึ่งที่เราสามารถควบคุมต้นทุนได้ แถมยังเอาไปทำการตลาดดึงดูดให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้นด้วยค่ะ 1. รองรับการเก็บเงินปลายทาง (COD) รองรับการเก็บเงินปลายทาง หรือให้บริการ Cash On Delivery (COD) เป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้แบรนด์ของคุณน่าเชื่อถือและช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้นได้ด้วยค่ะ เนื่องจากลูกค้าจะทำการสั่งซื้อสินค้า และจะชำระค่าสินค้าให้กับเราก็ต่อเมื่อเขาได้รับสินค้าแล้วเท่านั้น ซึ่งลูกค้าก็จะมั่นใจได้ว่าเราส่งของให้จริงนั่นเองค่ะ แต่การให้บริการเก็บปลายทางจะมีคิดค่าธรรมเนียมการให้บริการด้วยนะคะ ซึ่งค่าธรรมเนียมในแต่ละขนส่งจะแตกต่างกันไปค่ะ ดังนั้นเจ้าของธุรกิจควรศึกษาเงื่อนไขให้ดีเพื่อบริหารงานขายได้ดียิ่งขึ้น 2. ดึงดูดลูกค้าด้วยคำว่า “ส่งฟรี” ลูกค้าหลายคนยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้า แต่พอเจอ “ค่าส่ง” ก็จะรู้สึกเสียดาย ไม่อยากจ่ายเงินเพิ่ม ดังนั้นร้านค้าอย่างเราควรบวกค่าจัดส่งไว้ในค่าสินค้า ยกตัวอย่างเช่น สินค้าราคา 100 บาท ค่าจัดส่ง 50 บาท เมื่อต้องระบุราคาขายให้เขียนว่า “ราคา 150 บาท ส่งฟรี” จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าแต่ละขนส่งคิดค่าบริการเท่าไหร่? SHIPPOP เรามีฟังก์ชั่นให้ทุกคนสามารถเข้ามา “เปรียบเทียบราคา” ของขนส่งได้ โดยแค่ระบุหมายเลขไปรษณีย์ต้นทาง-ปลายทาง พร้อมทั้งระบุน้ำหนัก ที่สำคัญสามารถเช็คราคาได้ “ฟรี” […]
ปัจจุบันแม่ค้าออนไลน์หลายรายเลือกขายสินค้าผ่านช่องทาง Social media หรือ Market Place ต่าง ๆ เท่านั้นแต่ในอีกมุมนึงการที่แบรนด์มีเว็บไซต์เป็นของตนเอง จริง ๆ แล้วก็เป็นสิ่งที่ดีนะคะ เนื่องจากจะทำให้แบรนด์ของเราดูน่าเชื่อถือ เราสามารถควบคุมดีไซน์หน้าตาของเว็บได้ด้วย แต่ก็อาจจะมีหลายครั้งที่ลูกค้ามักจะเข้ามาแค่หน้าเว็บไซต์เฉย ๆ แล้วปิดหน้าเว็บของเราไป เพราะฉะนั้นเราจะต้องพัฒนาเว็บไซต์ของเราให้ดึงดูดลูกค้าเข้ามาและเลือกซื้อสินค้า แล้วเว็บเราควรมีฟังก์ชั่นอะไรเพิ่มบ้าง? SHIPPOP จะมาแนะนำ 5 เคล็ดลับการทำเว็บไซต์อย่างไรให้ลูกค้าไม่กดปิดหน้าเว็บ 1. ทำให้หน้าเว็บไซต์รองรับกับระบบมือถือ ปัจจุบันโทรศัพท์เป็นสิ่งพื้นฐานที่ลูกค้าพกติดตัว และใช้ในการทำงานอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้โซเชียลมิเดีย หรือแม้แต่การหาข้อมูล ดังนั้นหากอยากขายสินค้าได้ ก็ควรทำหน้าเว็บไซต์ที่รองรับกับมือถือด้วย เนื่องจากถ้าลูกค้ากดเข้ามาในเว็บไซต์และขนาดของหน้าเว็บไม่พอดีกับมือถือ จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าใช้งานยุ่งยาก ขั้นตอนซับซ้อน ดังนั้นการทำให้เว็บไซต์ให้รองรับกับระบบมือถือจึงเป็นส่วนที่สำคัญที่ทำให้ลูกค้าใช้งานได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ซึ่งนี้ก็เป็นส่วนนึงที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นด้วยนะคะ 2.ใช้วิดีโอในการสื่อสาร หากสินค้าหรือบริการของเราเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสมัครเข้าเว็บไซต์, ขั้นตอนใช้งานเว็บไซต์, การติดตั้งสินค้า หรือวิธีการใช้งานสินค้า เราควรทำวิดีโอเพื่อแนะนำสินค้าหรือบริการของเรา เพราะวิดีโอจะทำให้ดึงดูดลูกค้าได้ดี ลูกค้าเห็นภาพชัดเจนและสามารถทำตามได้ง่าย เมื่อลูกค้าเกิดความเข้าใจแล้ว สิ่งนี้ก็จะช่วยดึงดูดให้ลูกค้าเกิดความสนใจและช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ดียิ่งขึ้นเช่นกันค่ะ 3.ให้ข้อเสนอบางอย่างที่ลูกค้าได้รับ “ฟรี” ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเก่าหรือลูกค้าใหม่ เราก็ต้องทำการรักษาฐานลูกค้าเอาไว้ อีกหนึ่งสิ่งที่ควรคำนึงถึง คือ […]