พฤติกรรมการซื้อของลูกค้านั้นมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก และอาจจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผู้ประกอบการก็ต้องปรับตัวให้ทันกับผู้บริโภคด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นเราต้องปรับให้ธุรกิจเข้าหาลูกค้าให้มากขึ้นเพื่อที่ธุรกิจจะสามารถต่อยอดและเติบโตต่อไปได้ แล้วเราจะปรับตัวอย่างไรบ้าง? เราขอแนะนำ 5 แนวทางปฏิบัติสำหรับร้านค้าปลีกเพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ! 1. ขายของออนไลน์ สำหรับใครที่ยังไม่ได้เริ่มขายของออนไลน์ เราคิดคุณอาจจะต้องทำการปรับตัวแล้วล่ะ เพราะผู้บริโภคยุคใหม่กำลังเข้ามาซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้น ที่สำคัญการขายออนไลน์นั้นเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นอีกช่องทางการขายที่เราเข้ามาใช้พื้นที่ได้ “ฟรี” และยังสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ในวงกว้าง และเรายังสามารถทำแคมเปญการตลาด ยิงโฆษณา และเก็บข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าได้ แต่สิ่งสำคัญ คือ อย่าลืมที่จะใส่ใจลูกค้าและให้ประสบการณ์การซื้อขายที่ดีแก่ลูกค้าด้วยนะคะ 2. ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยภายในร้าน ลองปรับเปลี่ยนรูปแบบการขายภายในร้านดูบ้าง ลองเปิดใจใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีใหม่ ๆ และอินเทอร์เน็ตเข้ามาช่วยบริหารภายในงาน ยกตัวอย่างเช่น มีระบบรองรับการชำระด้วยบัตรเครดิตแบบไร้การสัมผัส, มี QR Code ที่ลูกค้าสแกนเพื่อดูข้อมูลของสินค้าเพิ่มเติมได้หรือมีข้อมูลสินค้าสำหรับร้านค้าเพื่อให้พนักงานเข้ามาศึกษาข้อมูลและนำไปตอบคำถามกับลูกค้า, มี wifi รองรับให้กับลูกค้า, เป็นต้น การทำเช่นนี้จะช่วยสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าได้ 3. เก็บข้อมูลลูกค้า เพื่อนำมาต่อยอด ข้อดีในการการอัปเกรดเทคโนโลยีในร้าน คือ เราสามารถรวบรวมข้อมูลและใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อปรับแต่งกลยุทธ์ต่าง ๆ ให้เข้ากับลูกค้าของเรา เช่น เราจะทราบช่วงอายุและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าทำให้รู้ว่าเราควรทำคอนเทนต์แบบไหนที่จะเข้าลูกค้าถึงได้ดี หรือการที่เราทราบอีเมล์ของลูกค้าก็จะช่วยให้เราส่งข้อมูลสินค้าหรือแคมเปญทางการตลาดให้แก่ลูกค้าได้ สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ดีให้แก่ลูกค้าและมีแนวโน้มที่จะช่วยให้ยอดขายของเราเพิ่มขึ้นด้วยนะ 4. ทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษ นี่คืออีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้ลูกค้าของเรารู้สึกว่าพวกเขาเป็นคนพิเศษ คือ […]
ปัจจุบันมีผู้คนใช้งานโซเซียลมิเดียจำนวนมากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มอย่าง Instagram หรือ Facebook เรียกได้ว่ามีคนเล่นกันทั่วทั้งโลกเลยทีเดียว แต่เราจะทำอย่างไรให้ผู้คนเหล่านั้นหันมาสนใจคอนเทนต์ของเรา? อะไรที่จะทำให้เขาหยุดอ่านโพสต์ของเรา? วันนี้เราจะมาแนะนำ 5 วิธีที่จะช่วยให้คอนเทนต์ของคุณน่าสนใจและดึงดูดสายตาลูกค้ากันค่ะ 1. เขียนข้อความให้กระชับ เราคงจะเคยเห็นคนโพสต์ด้วยข้อความเยอะ ๆ ตัวอักษรละลานตามาก ๆ คำถามคือ เวลาเราเห็นโพสต์แบบนี้เราจะหยุดอ่านไหม? ถ้าบุคคลที่โพสต์ไม่ใช่คนใกล้ตัวหรือคนรู้จักของเรา แน่นอนเลยว่าเราจะไม่อ่านข้อความเหล่านั้นและเลือกที่จะเลื่อนผ่านโพสต์นั้นไปเลย ดังนั้นมันคงจะดีกว่าถ้าเราจะเลือกใช้เป็น “คำอธิบายสั้น ๆ” เพื่อให้รูปประโยคกระชับ เข้าใจง่าย จะช่วยดึงดูดให้ผู้คนหยุดเพื่ออ่านข้อความของเราได้นั่นเองค่ะ 2. ใช้รูปถ่ายของเราเอง หลายครั้งแบรนด์มักจะเลือกใช้รูปภาพจากเว็บไซต์ที่เขาแจกฟรี ซึ่งแน่นอนเลยค่ะว่าสามารถใช้งานได้ แต่จะดีกว่าถ้าแบรนด์ของเราถ่ายรูปเป็นของตนเอง เพราะมันจะช่วยให้รูปภาพของเรานั้นโดดเด่นสะดุดตาลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น สามารถสร้างความแตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ ได้ และเราควรศึกษาให้ดีว่าในแต่ละแพลตฟอร์มนั้นควรใช้รูปภาพขนาดไหนในการโพสต์ เพราะถ้าหากเราเลือกใช้ขนาดตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ จะทำให้รูปภาพของเราไม่ผิดสัดส่วน และโพสต์ของเรานั้นจะยิ่งมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นด้วยนะคะ 3. หากข้อมูลเยอะ ให้นำเสนอในรูปแบบของ Infographic รู้หรือไม่ว่าผู้คนจะจดจำข้อมูลที่อยู่ในรูปภาพได้ดีกว่าข้อความสูงถึง 65% ดังนั้นเมื่อคุณมีข้อมูลที่อยากนำเสนอหรืออยากนำเนื้อหาเก่ามาใช้ เราอยากให้คุณลองทำข้อมูลในรูปแบบของอินโฟกราฟฟิก, แผนภูมิ, รูปภาพ เพราะการทำในรูปแบบดังกล่าวจะทำให้ผู้คนสามารถจดจำข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งข้อความที่อยู่ในรูปนั้น เราควรเลือกแค่เนื้อหาหลักมานำเสนอเท่านั้นนะคะ และถ้าหากรู้สึกว่าเราไม่ได้ทำกราฟฟิกเก่ง จะทำยังไงดี? […]
เมื่อเราต้องการใช้รูปภาพผู้คนส่วนใหญ่มักจะเข้าไปค้นหารูปใน Google และนำไปใช้ทันทีซึ่งในความจริงแล้วรูปภาพที่อยู่ในโลกออนไลน์เราไม่สามารถที่จะนำมาใช้ได้ทั้งหมดนะคะเพราะในบางกรณีอาจจะ ติดลิขสิทธิ์บ้างนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ไม่ได้ แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะเพราะแน่นอนว่าในปัจจุบันนี้ยังมีเว็บไซต์ที่มีรูปภาพสวย ๆ อัดแน่นให้เราได้ดาวน์โหลดไปใช้ฟรีแบบที่ไม่ต้องนั่งในใจ เรื่องเสียค่าลิขสิทธิ์เลยจะมีอะไรน่าสนใจบ้างเราดูกันไปพร้อมกันเลย! 1. Unsplash Unsplash เป็นหนึ่งในเว็บไซต์ที่ดีที่สุด ซึ่งมีรูปภาพคุณภาพดีและมีให้เราเลือกใช้มากกว่า 1 ล้านภาพ ซึ่งรูปภาพนั้นมาจากช่างภาพที่มีทักษะมากกว่า 100,000 คน เราสามารถค้นหารูปภาพได้ตามที่เราต้องการ ที่สำคัญคือเราสามารถนำรูปภาพไปใช้งานได้ฟรี สามารถนำไปใช้เพื่อการค้าได้ด้วยนะ ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่จำเป็นต้องให้เครดิตช่างภาพ แต่ขอแนะนำว่าให้ใส่เครดิตช่างภาพ อาจจะเป็นชื่อของช่างภาพหรือลิงก์ไปยังโปรไฟล์ของช่างภาพ เพื่อเป็นการขอบคุณค่ะ 2. Flickr Flickr เป็นเหมือนเครือข่ายโซเชียลมิเดียของช่างภาพมืออาชีพและช่างภาพมือสมัครเล่น เพราะเป็นการโพสต์รูปภาพที่เจ้าของสามารถตั้งค่าได้ว่าอัปโหลดเป็นส่วนตัวหรือสาธารณะ และเราจะสามารถค้นหารูปภาพได้ด้วยการพิมพ์สำคัญต่าง ๆ แต่สิ่งสำคัญที่เราต้องรู้ไว้คือ เว็บไซต์นี้เราไม่สามารถนำรูปมาใช้ฟรีทุกรูปนะ เพราะจริงๆเราไม่สามารถนำรูปไปใช้เพื่อการค้าได้ ดังนั้นรูปภาพในเว็บไซต์นี้จึงเหมาะกับการโหลดฟรีเพื่อนำรูปภาพไปประกอบบล็อกมากกว่าค่ะ 3. Shutterstock หนึ่งในเว็บไซต์ยอดนิยมที่หลายมักจะคุ้นเคยกันเป็นดี หากใครที่ต้องการรูปคุณภาพดีเพื่อนำไปประกอบสำหรับแคมเปญโฆษณา Facebook ก็ต้องไม่พลาดที่จะเข้าไปค้นหาภาพใน Shutterstock เพราะเขามีรูปภาพให้เราเลือกมากกว่า 300 ล้านภาพ โดยมีรูปภาพเพิ่มขึ้นวันละประมาณ 200,000 รูป ซึ่งมีตั้งแต่ภาพประกอบ ภาพเวกเตอร์ ภาพผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และสำหรับผู้ที่ใช้งานครั้งแรกจะสามารถนำรูปภาพไปใช้งานได้ฟรี 10 รูป […]
โพสต์ขายของที่ไหนดี? SHIPPOP มีคำตอบ! สำหรับพ่อค้าแม่ค้า สิ่งที่เรามักจะคิดอยู่เสมอ คือ เราจะขยายธุรกิจยังไง? ทำยังไงให้ยอดขายเพิ่มขึ้น? แน่นอนเลยว่าสิ่งสำคัญ คือ เราต้องทำการขยายตลาด ทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าเห็นสินค้าของเราให้ได้มากที่สุด เพราะฉะนั้นการขายของออนไลน์คืออีกทางเลือกที่เราไม่ควรมองข้ามเลยค่ะ SHIPPOP ขอแนะนำ 5 เว็บไซต์ที่เราสามารถไปโพสต์ขายของได้ “ฟรี” จะมีอะไรบ้างนั้น เรามาดูไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ 1. Shopee เว็บไซต์ชอปปิ้งออนไลน์ยอดนิยมที่หลายคนคุ้นชินกันเป็นอย่างดี นับได้ว่าเป็นเว็บอันดับต้น ๆ ที่คนนิยมใช้กันเป็นอย่างมาก สำหรับใครที่อยากขายของ ก็ต้องบอกได้เลยว่าเขาเปิดพื้นที่ให้แม่ค้าได้ขายของ “ฟรี” ไม่ต้องเสียค่าแรกเข้าและค่าคอมมิชชั่น แต่ถ้าหากสมัครเป็น Shopee Mall (เหมาะกับแบรนด์ official ได้รับการการันตีจาก Shopee) จะต้องเสียค่าคอมมิชชั่นในการขายสินค้า ซึ่งสินค้าแต่ละประเภทจะมีเกณฑ์การหักเปอร์เซ็นที่แตกต่างกันค่ะ ข้อดีที่ขายผ่านทางเว็บ คือ เขามีแคมเปญที่ดึงดูดลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ ทำให้มีลูกค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ถ้าเราลงรายละเอียดสินค้าพร้อมรูปภาพสวย ๆ ที่ดึงดูดลูกค้า รับรองได้เลยว่า ยอดขายปังอย่างแน่นอน! 2. Lazada อีกหนึ่งเว็บไซต์ที่ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ เพราะได้รับความนิยมไม่แพ้กับ […]
สำหรับคนขายของออนไลน์ เมื่อถึงวันที่เรามีออเดอร์เยอะจนเริ่มเกิดปัญหาในการขาย ไม่ว่าจะเป็น จำนวนสต๊อกไม่ตรงกับความเป็นจริง แพ็คของไม่ทัน พื้นที่เก็บของไม่พอ แบกพัสดุไปที่ขนส่งไม่ไหว เป็นต้น เรามักจะมองหาตัวช่วยที่จะเข้ามาจัดการให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าในปัจจุบันนี้มีบริการที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องมานั่งปวดหัวอีกต่อไป เพราะทุกอย่างจะสามารถจัดการได้ในระบบออนไลน์ ทำให้เราทำงานได้ง่าย ข้อมูลมีความแม่นยำ วันนี้ SHIPPOP จะพาคุณไปรู้จักกับบริการเหล่านี้ เพื่อให้คุณเข้าใจระบบมากขึ้น และเลือกใช้งานได้อย่างเหมาะสม เราไปดูกันเลยค่ะว่าจะบริการอะไรบ้าง 1 บริการระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ สำหรับแม่ค้าออนไลน์ที่ขายของหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Shopee ฯลฯ แล้วมียอดออเดอร์เข้ามาถล่มทลาย คุณอาจจะเจอกับปัญหาที่น่าปวดหัว เช่น ออเดอร์ตกหล่น จำนวนสต๊อกสินค้าคลาดเคลื่อน การสรุปยอดให้กับลูกค้า เรียกได้ว่าถึงกับต้องปวดหัวกันเลยทีเดียว แต่คุณรู้ไหมว่าจริง ๆ แล้วยังมีบริการ “ระบบการจัดการร้านค้าออนไลน์” ที่เข้ามาช่วยให้การขายของคุณง่ายขึ้นนะ ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ คือ ระบบที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาแม่ค้า เพราะในระบบนี้จะมีฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การขายคุณทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น รวบรวมแชทลูกค้าไว้ในที่เดียว, อัพเดทสต๊อกแบบเรียลไทม์, แยกหมวดหมู่และประเภทของสินค้า, บันทึกข้อมูลลูกค้า, ดึงออเดอร์ขณะไลฟ์สด เป็นต้น 2 บริการเก็บ-แพ็ค-ส่ง […]