ทุกวันนี้ใคร ๆ ต่างก็เล่น Facebook Story กันเป็นเรื่องปกติเลยค่ะ นั้นจึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่แบรนด์เองก็ควรเข้าไปอัปเดตด้วยเช่นเดียวกันค่ะ เพราะถ้าลูกค้ากำลังเล่นอยู่ เขาก็จะเห็นสตอรี่ที่แบรนด์ด้วยเช่นกัน แต่หลายคนอาจจะโพสต์แค่รูปภาพลงไปในสตอรี่ใช่ไหมคะ? วันนี้เรามีไอเดียมานำเสนอให้ทุกคนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง ช่วยเพิ่มความน่าสนใจในตัวสินค้าได้ด้วยนะคะ 1. ให้ลูกค้าเห็นเบื้องหลัง ถ้าเราขายของออนไลน์ เราอาจจะมีขั้นตอนเบื้องหลังที่ลูกค้าอาจจะไม่เคยเห็น เช่น ขั้นตอนการถ่ายรูปสินค้าที่ใกล้จะออกใหม่, สต๊อกสินค้า, ภาพตอนเราไปส่งพัสดุแล้วมีกล่องพัสดุ หรือขั้นตอนการทำงานอย่างแพ็คของ เราก็สามารถถ่ายสตอรี่เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพเหล่านี้ได้นะคะ เพราะก็ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ด้วยเช่นกัน ยิ่งถ้าเป็นรูปที่เห็นว่าเรามีออเดอร์เยอะ ก็จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าอยากทดลอง อยากซื้อสินค้ามากขึ้น และทำให้ลูกค้าเห็นถึงการทำงานของเราด้วยค่ะ หรือถ้าเราถ่ายให้เห็นเบื้องหลังตอนเรากำลังถ่ายรูปสินค้าออกใหม่ ก็สามารถช่วยโปรโมทได้และบอกให้ลูกค้าทราบล่วงหน้าเรากำลังจะออกสินค้าใหม่ เตรียมรอติดตามกันได้เลย 2. ใช้เป็นเพื่อถามคำถาม สร้างแบบสำรวจง่าย ๆ ถ้าคุณกำลังจะทำอะไรอย่างนึงแล้วตัดสินใจไม่ได้ ลองโพสต์สตอรี่ ตั้งคำถามและให้ลูกค้ากดโหวตดูค่ะ คุณจะรู้เลยว่าลูกค้ากำลังต้องการอะไร ชอบแบบไหน อันไหนกระแสตอบรับดีมากกว่ากัน สิ่งนี้ก็ช่วยให้คุณได้ข้อมูลมาง่าย ๆ สร้างปฎิสัมพันธ์กับลูกค้า ขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยากด้วยนะคะ แต่ก็ต้องระวังอย่าตั้งคำถามให้ข้อความยาวมากเกินไปนะคะ เพราะลูกค้าอาจจะไม่อ่านได้ ตั้งคำถามให้กระชับได้ใจความ ใส่รูปภาพลงไป หรือลูกเล่นอื่น ๆ เพราะให้ดูสนุกก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจค่ะ 3. แชร์โพสต์จากการที่ลูกค้าแท็กมาหาเรา บางครั้งเวลาลูกค้าซื้อสินค้าเราไป เขาออาจจะปรับใจมากและลงสตอรี่หรือลงโพสต์พร้อมกับแท็กหาแบรนด์ […]
ช่วงนี้คนเข้ามาขายของออนไลน์กันเยอะมากเลยค่ะ บางรายเรียกได้ว่าออเดอร์ถล่มทลายกันเลยทีเดียว แต่เมื่อมีออเดอร์ยอดคำสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก แม่ค้าส่วนใหญ่จะเจอกับปัญหาแบกกล่องพัสดุไปส่งของไม่ไหว หรืออาจจะเจอปัญหาส่งของไม่ทัน เขียนใบปะหน้าไม่ไหว แต่ทุกปัญหามีทางออก เรามาดูกันค่ะว่าจะจัดการกับปัญหาน่าปวดหัวเหล่านี้อย่างไร 1. แบ่งสต๊อกสินค้าให้เป็นหมวดหมู่ชัดเจน สิ่งสำคัญที่สุด คือ เราต้องบริหารคลังสินค้าของเราให้ดีค่ะ เพราะถ้าหากเราวางสินค้าตามใจเวลาจะหาของมาแพคจะวิ่งกันวุ่นวายเพราะหาของไม่เจอ! ดังนั้นการจัดระเบียบและแบ่งโซนให้ชัดเจนจะช่วยให้เราหยิบสินค้าได้ไวขึ้น ถ้ายังเป็นมือใหม่พึ่งเริ่มต้น อาจจะยังไม่มีชั้นวางของแต่ก็ยังแนะนำว่าให้แบ่งแยกสินค้าให้เป็นหมวดหมู่ดีกว่าค่ะ แบ่งโซนพื้นที่เก็บของเราให้ชัดเจนว่าในแต่ละโซนจะจัดวางสินค้าประเภทอะไร การทำแบบนี้มีประโยชน์ในการนับสต๊อกด้วยนะคะ ช่วยป้องกันสต๊อกขาดซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราเสียโอกาสในการขายด้วยค่ะ 2. ลดขั้นตอนงาน ทำทุกอย่างให้ไวขึ้น ปกติแล้วเวลาเราจะส่งสินค้าเราจะต้องใช้เวลาเยอะเลยใช่ไหมคะ ทั้งเดินไปหยิบของ ห่อบับเบิ้ล แถมยังต้องเขียนใบปะหน้าอีก แต่ถ้ามี “ระบบของ SHIPPOP” เข้ามาช่วยก็จะทำให้ลดระยะเวลาไปได้ค่ะ โดยการที่เราเอาข้อมูลลูกค้าพิมพ์เข้าระบบ หรือแค่ Copy ข้อความที่ลูกค้าส่งให้ ก็ไม่ต้องเสียเวลามาเขียนใบปะหน้าอีกต่อไป เมื่อเราเอาข้อมูลเข้าระบบเราก็แค่ปริ้นท์ใบปะหน้าออกมา แล้วแปะที่หน้ากล่องพัสดุได้ทันทีเลยค่ะ เป็นการลดระยะเวลา ที่สำคัญยังช่วยป้องกันข้อมูลผิดพลาดด้วยนะคะ เพราะปกติถ้าใช้มือเขียน พนักงานขนส่งก็จะเจอปัญหาอ่านลายมือไม่ออก ทำให้จัดส่งล่าช้าได้ค่ะ 3. ใช้บริการ Drop-off ธรรมดาถ้าเราไปส่งของที่สาขาของไปรษณีย์ เราอาจจะต้องกดบัตรรอคิวนาน ทำให้เราเสียเวลา ที่สำคัญการรอนาน ๆ ถ้าเราไปไม่ทันเวลาช่วงที่เขาตัดรอบส่งพัสดุก็จะทำให้เราพัสดุของเราถึงมือลูกค้าช้าด้วยนะคะ แต่ถ้าเราเลือกใช้บริการ Drop-off เราจะมีเวลาเพิ่มขึ้นเยอะเลยค่ะเพราะว่าไม่ต้องต่อแถวแล้ว […]