เข้าสู่เดือนธันวาคมแล้ว อีกไม่นานก็จะปี 2021 กันแล้วนะคะ ในปีนี้หลาย ๆ ธุรกิจอาจจะเจอวิกฤตหนักเพราะสถานการณ์ของไวรัสไวรัสโคโรนา (COVID-19) ดังนั้นเราอาจจะต้องวางแผนธุรกิจกันมากขึ้น และปรับตัวกันให้มากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจของเราประสบความสำเร็จในปีหน้า SHIPPOP เรามีเคล็ด (ไม่) ลับมาบอกต่อ กับ “5 สิ่งที่ธุรกิจขนาดเล็กควรทำในปี 2021” 1. เตรียมความพร้อมสำหรับ “ความไม่แน่นอน” สำหรับปี 2020 เราเจอวิกฤตของ COVID-19 ที่ทำให้ธุรกิจหลายรายได้รับผลกระทบอย่างหนัก บางรายธุรกิจเติบโตขึ้น แต่บางรายก็ขาดทุนอย่างหนัก งานน้อยลง รายได้ก็ลดลงด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้วสำหรับ “อนาคต” มันเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนเลย เราไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราควรต้อง “เตรียมความพร้อม” การเตรียมความพร้อม เราควรที่จะประเมินสถานการณ์ “ปกติ” ของเราก่อนว่าเรามีการดำเนินธุรกิจอย่างไร และลองประเมินสถานการณ์ที่ “ไม่ปกติ” ถ้าเราปัญหาหรือวิฤตหนักแบบช่วง COVID-19 เราจะปรับธุรกิจของเราอย่างไรบ้าง เราควรวางแผนไว้ล่วงหน้าเพราะถ้าหากเกิดวิกฤตอีกครั้ง เราจะสามารถผ่านปัญหาเหล่านั้นไปได้ด้วยดีค่ะ 2. อย่ากลัวที่จะลองอะไรใหม่ ๆ ธุรกิจขนาดเล็กส่วนใหญ่จะมีความคล่องตัวและเรามักจะทำกิจวัตรเดิม ๆ ไม่ได้มีแบบแผนสำรองในกรณีที่ธุรกิจเจอวิกฤต แต่ถ้าวันนึงเราเจอวิกฤตแบบที่ไม่ทันตั้งตัวเราจะทำอย่างไร […]
ปัจจุบันแม่ค้าออนไลน์หลายรายเลือกขายสินค้าผ่านช่องทาง Social media หรือ Market Place ต่าง ๆ เท่านั้นแต่ในอีกมุมนึงการที่แบรนด์มีเว็บไซต์เป็นของตนเอง จริง ๆ แล้วก็เป็นสิ่งที่ดีนะคะ เนื่องจากจะทำให้แบรนด์ของเราดูน่าเชื่อถือ เราสามารถควบคุมดีไซน์หน้าตาของเว็บได้ด้วย แต่ก็อาจจะมีหลายครั้งที่ลูกค้ามักจะเข้ามาแค่หน้าเว็บไซต์เฉย ๆ แล้วปิดหน้าเว็บของเราไป เพราะฉะนั้นเราจะต้องพัฒนาเว็บไซต์ของเราให้ดึงดูดลูกค้าเข้ามาและเลือกซื้อสินค้า แล้วเว็บเราควรมีฟังก์ชั่นอะไรเพิ่มบ้าง? SHIPPOP จะมาแนะนำ 5 เคล็ดลับการทำเว็บไซต์อย่างไรให้ลูกค้าไม่กดปิดหน้าเว็บ 1. ทำให้หน้าเว็บไซต์รองรับกับระบบมือถือ ปัจจุบันโทรศัพท์เป็นสิ่งพื้นฐานที่ลูกค้าพกติดตัว และใช้ในการทำงานอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้โซเชียลมิเดีย หรือแม้แต่การหาข้อมูล ดังนั้นหากอยากขายสินค้าได้ ก็ควรทำหน้าเว็บไซต์ที่รองรับกับมือถือด้วย เนื่องจากถ้าลูกค้ากดเข้ามาในเว็บไซต์และขนาดของหน้าเว็บไม่พอดีกับมือถือ จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าใช้งานยุ่งยาก ขั้นตอนซับซ้อน ดังนั้นการทำให้เว็บไซต์ให้รองรับกับระบบมือถือจึงเป็นส่วนที่สำคัญที่ทำให้ลูกค้าใช้งานได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ซึ่งนี้ก็เป็นส่วนนึงที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นด้วยนะคะ 2.ใช้วิดีโอในการสื่อสาร หากสินค้าหรือบริการของเราเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสมัครเข้าเว็บไซต์, ขั้นตอนใช้งานเว็บไซต์, การติดตั้งสินค้า หรือวิธีการใช้งานสินค้า เราควรทำวิดีโอเพื่อแนะนำสินค้าหรือบริการของเรา เพราะวิดีโอจะทำให้ดึงดูดลูกค้าได้ดี ลูกค้าเห็นภาพชัดเจนและสามารถทำตามได้ง่าย เมื่อลูกค้าเกิดความเข้าใจแล้ว สิ่งนี้ก็จะช่วยดึงดูดให้ลูกค้าเกิดความสนใจและช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ดียิ่งขึ้นเช่นกันค่ะ 3.ให้ข้อเสนอบางอย่างที่ลูกค้าได้รับ “ฟรี” ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเก่าหรือลูกค้าใหม่ เราก็ต้องทำการรักษาฐานลูกค้าเอาไว้ อีกหนึ่งสิ่งที่ควรคำนึงถึง คือ […]
TikTok แพลตฟอร์มออนไลน์ที่กำลังได้รับความนิยม และเป็นอีกสื่อสำคัญที่ทำให้เกิดชาเลนจ์และเทรนด์ต่าง ๆ มากมาย แน่นอนเลยว่าปัจจุบันมีผู้คนเข้าไปเล่นในแพลตฟอร์มนี้อย่างถล่มทลาย เมื่อคนอยู่ในนั้นเยอะ แม่ค้าออนไลน์อย่างเราก็ต้องไม่พลาดที่จะเข้าไปทำการตลาดนะคะ แต่จะทำยังไงให้โพสต์ของเราน่าสนใจ? วันนี้ SHIPPOP มี 4 กลยุทธ์ดี ๆ ที่เราควรจะใช้เพื่อเข้าหาลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นค่ะ 1. ตอบโต้กับลูกค้าโดยใช้ลูกเล่นของ TikTok เพื่อให้แบรนด์ของเราเข้ากับแพลตฟอร์มอย่าง Tiktok เราก็ควรที่จะใช้ลูกเล่นต่าง ๆ เพื่อให้เข้ากับผู้ใช้รายอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น ใช้เอฟเฟกต์ AR, ตัดต่อวิดีโอและใช้เพลงของศิลปิน ซึ่งสิ่งนี้จะสามารถสร้างคาแรคเตอร์ของแบรนด์ได้ และเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่เราไม่ควรมองข้ามเลยค่ะ และวิดีโอที่สร้างโดยผู้ใช้งานทั่วไปมักจะได้รับความนิยมด้วยเช่นกัน ซึ่งหมายความว่า เสียงหรือเอฟเฟกต์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้งานนิยม จะมีอัตราการค้นหาสูงมาก แน่นอนเลยว่าการที่เราเลือกใช้เสียงหรือเอฟเฟกต์เหล่านั้นจะทำให้พบเนื้อหาจากแบรนด์ได้ง่ายขึ้น 2. สร้างเนื้อหาที่มีจำนวนการค้นหาสูง เห็นได้ชัดเลยว่าหากเราต้องการมีส่วนร่วมกับ TikTok เราจะต้องทำให้มีคนค้นพบโพสต์ของเราให้มากขึ้น วิธีที่ดีที่สุด คือ ค้นหาก่อนว่าเนื้อหาประเภทไหนที่ผู้คนสนใจ เราสามารถเริ่มต้นด้วยเนื้อหายอดนิยมบน TikTok หรือเนื้อหาของผู้ที่ชื่อเสียง ซึ่งเราสามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์ของ TikTok เพื่อค้นหาว่าอะไรคือเนื้อหาที่ดีที่สุด ซึ่งจะช่วยให้เราค้นหาคำบรรยายหรือแฮชแท็กยอดนิยมที่เราสามารถเข้าร่วมได้ เนื้อหาเหล่านี้จะแสดงสิ่งที่ผู้คนกำลังค้นหา ซึ่งเราสามารถเข้าร่วมทำเทรนด์ดังกล่าวได้หรือนำเทรนด์เหล่านั้นมาวิเคราะห์และเริ่มวางแผนที่จะทำ Tiktok […]
พฤติกรรมการซื้อของลูกค้านั้นมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก และอาจจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผู้ประกอบการก็ต้องปรับตัวให้ทันกับผู้บริโภคด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นเราต้องปรับให้ธุรกิจเข้าหาลูกค้าให้มากขึ้นเพื่อที่ธุรกิจจะสามารถต่อยอดและเติบโตต่อไปได้ แล้วเราจะปรับตัวอย่างไรบ้าง? เราขอแนะนำ 5 แนวทางปฏิบัติสำหรับร้านค้าปลีกเพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ! 1. ขายของออนไลน์ สำหรับใครที่ยังไม่ได้เริ่มขายของออนไลน์ เราคิดคุณอาจจะต้องทำการปรับตัวแล้วล่ะ เพราะผู้บริโภคยุคใหม่กำลังเข้ามาซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้น ที่สำคัญการขายออนไลน์นั้นเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นอีกช่องทางการขายที่เราเข้ามาใช้พื้นที่ได้ “ฟรี” และยังสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ในวงกว้าง และเรายังสามารถทำแคมเปญการตลาด ยิงโฆษณา และเก็บข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าได้ แต่สิ่งสำคัญ คือ อย่าลืมที่จะใส่ใจลูกค้าและให้ประสบการณ์การซื้อขายที่ดีแก่ลูกค้าด้วยนะคะ 2. ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยภายในร้าน ลองปรับเปลี่ยนรูปแบบการขายภายในร้านดูบ้าง ลองเปิดใจใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีใหม่ ๆ และอินเทอร์เน็ตเข้ามาช่วยบริหารภายในงาน ยกตัวอย่างเช่น มีระบบรองรับการชำระด้วยบัตรเครดิตแบบไร้การสัมผัส, มี QR Code ที่ลูกค้าสแกนเพื่อดูข้อมูลของสินค้าเพิ่มเติมได้หรือมีข้อมูลสินค้าสำหรับร้านค้าเพื่อให้พนักงานเข้ามาศึกษาข้อมูลและนำไปตอบคำถามกับลูกค้า, มี wifi รองรับให้กับลูกค้า, เป็นต้น การทำเช่นนี้จะช่วยสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าได้ 3. เก็บข้อมูลลูกค้า เพื่อนำมาต่อยอด ข้อดีในการการอัปเกรดเทคโนโลยีในร้าน คือ เราสามารถรวบรวมข้อมูลและใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อปรับแต่งกลยุทธ์ต่าง ๆ ให้เข้ากับลูกค้าของเรา เช่น เราจะทราบช่วงอายุและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าทำให้รู้ว่าเราควรทำคอนเทนต์แบบไหนที่จะเข้าลูกค้าถึงได้ดี หรือการที่เราทราบอีเมล์ของลูกค้าก็จะช่วยให้เราส่งข้อมูลสินค้าหรือแคมเปญทางการตลาดให้แก่ลูกค้าได้ สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างประสบการณ์การช็อปปิ้งที่ดีให้แก่ลูกค้าและมีแนวโน้มที่จะช่วยให้ยอดขายของเราเพิ่มขึ้นด้วยนะ 4. ทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษ นี่คืออีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้ลูกค้าของเรารู้สึกว่าพวกเขาเป็นคนพิเศษ คือ […]
ปัจจุบันมีผู้คนใช้งานโซเซียลมิเดียจำนวนมากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มอย่าง Instagram หรือ Facebook เรียกได้ว่ามีคนเล่นกันทั่วทั้งโลกเลยทีเดียว แต่เราจะทำอย่างไรให้ผู้คนเหล่านั้นหันมาสนใจคอนเทนต์ของเรา? อะไรที่จะทำให้เขาหยุดอ่านโพสต์ของเรา? วันนี้เราจะมาแนะนำ 5 วิธีที่จะช่วยให้คอนเทนต์ของคุณน่าสนใจและดึงดูดสายตาลูกค้ากันค่ะ 1. เขียนข้อความให้กระชับ เราคงจะเคยเห็นคนโพสต์ด้วยข้อความเยอะ ๆ ตัวอักษรละลานตามาก ๆ คำถามคือ เวลาเราเห็นโพสต์แบบนี้เราจะหยุดอ่านไหม? ถ้าบุคคลที่โพสต์ไม่ใช่คนใกล้ตัวหรือคนรู้จักของเรา แน่นอนเลยว่าเราจะไม่อ่านข้อความเหล่านั้นและเลือกที่จะเลื่อนผ่านโพสต์นั้นไปเลย ดังนั้นมันคงจะดีกว่าถ้าเราจะเลือกใช้เป็น “คำอธิบายสั้น ๆ” เพื่อให้รูปประโยคกระชับ เข้าใจง่าย จะช่วยดึงดูดให้ผู้คนหยุดเพื่ออ่านข้อความของเราได้นั่นเองค่ะ 2. ใช้รูปถ่ายของเราเอง หลายครั้งแบรนด์มักจะเลือกใช้รูปภาพจากเว็บไซต์ที่เขาแจกฟรี ซึ่งแน่นอนเลยค่ะว่าสามารถใช้งานได้ แต่จะดีกว่าถ้าแบรนด์ของเราถ่ายรูปเป็นของตนเอง เพราะมันจะช่วยให้รูปภาพของเรานั้นโดดเด่นสะดุดตาลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น สามารถสร้างความแตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ ได้ และเราควรศึกษาให้ดีว่าในแต่ละแพลตฟอร์มนั้นควรใช้รูปภาพขนาดไหนในการโพสต์ เพราะถ้าหากเราเลือกใช้ขนาดตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ จะทำให้รูปภาพของเราไม่ผิดสัดส่วน และโพสต์ของเรานั้นจะยิ่งมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นด้วยนะคะ 3. หากข้อมูลเยอะ ให้นำเสนอในรูปแบบของ Infographic รู้หรือไม่ว่าผู้คนจะจดจำข้อมูลที่อยู่ในรูปภาพได้ดีกว่าข้อความสูงถึง 65% ดังนั้นเมื่อคุณมีข้อมูลที่อยากนำเสนอหรืออยากนำเนื้อหาเก่ามาใช้ เราอยากให้คุณลองทำข้อมูลในรูปแบบของอินโฟกราฟฟิก, แผนภูมิ, รูปภาพ เพราะการทำในรูปแบบดังกล่าวจะทำให้ผู้คนสามารถจดจำข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งข้อความที่อยู่ในรูปนั้น เราควรเลือกแค่เนื้อหาหลักมานำเสนอเท่านั้นนะคะ และถ้าหากรู้สึกว่าเราไม่ได้ทำกราฟฟิกเก่ง จะทำยังไงดี? […]
ปัจจุบันประเทศไทยมีขนส่งให้บริการหลายราย ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องมีรายละเอียดและเงื่อนไขการให้บริการที่แตกต่างกันด้วยนะคะ รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วเราไม่ได้คำนวณราคาส่งของแค่เฉพาะน้ำหนักของพัสดุเท่านั้นนะคะแต่ยังมีเกณฑ์การคิดราคาแบบอื่น ๆ ด้วย และเพื่อให้ทุกคนเข้าใจกันมากขึ้น วันนี้ SHIPPOP จะมาไขข้อสงสัยกันว่า ขนส่งเขามีเกณฑ์การคิดราคาอย่างไรกันบ้าง? คิดราคาตาม “น้ำหนัก” เกณฑ์การคิดราคาแบบนี้ เป็นอย่างแรกที่หลายคนน่าจะคุ้นชินกันเป็นอย่างดี นั้นก็คือ การคิดราคาตาม “น้ำหนัก” การใช้เกณฑ์นี้เราสามารถส่งพัสดุขนาดใดก็ได้ ไม่ว่าจะกล่องเล็กหรือกล่องใหญ่ก็ส่งได้หมดเลยค่ะ ซึ่งก็มีหลายขนส่งที่ใช้หลักการคิดแบบนี้นะคะ ยกตัวอย่างเช่น ไปรษณีย์ไทย, CJ Logistics, Ninja Van เป็นต้น แต่ถ้าหากว่าเราจะส่งของที่มีน้ำหนักเยอะมาก ๆ ก็ต้องไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยนะคะเพราะว่าแต่ละขนส่งจะมีเกณฑ์ของน้ำหนัก ว่าส่งของสูงสุดได้กี่กิโลกรัมค่ะ ซึ่งเกณฑ์แบบนี้ถ้าเราส่งสินค้าที่มีขนาดใหญ่และน้ำหนักเบา จะทำให้เราส่งได้คุ้มค่ามากที่สุด คิดราคาตาม “ขนาดกล่อง” เกณฑ์นี้จะมีความคล้ายคลึงกับเกณฑ์ด้านบน ต่างกันตรงที่ขนส่งจะไม่คำนึงถึงเรื่องน้ำหนักของพัสดุเลย เพราะจะคำนึงถึงแค่ “ขนาดกล่อง” เท่านั้น ยิ่งขนาดของกล่องใหญ่มากเท่าไหร่ ราคาก็ยิ่งสูงขึ้น ดังนั้นหากเราต้องการส่งอย่างคุ้มค่า ก็ควรส่งพัสดุที่มีน้ำหนักเยอะ ขนาดกล่องไม่ใหญ่ เช่น อุปกรณ์กีฬาอย่างดัมเบลที่น้ำหนักเยอะ แต่ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก ถ้าเราเลือกส่งด้วยเกณฑ์การส่งแบบนี้จะทำให้เราสามารถประหยัดค่าขนส่งได้ดีทีเดียว ขนส่งที่ใช้เกณฑ์นี้ เช่น Alpha Fast, […]